เมื่อได้ยินคำว่า “คนบ้า….” แล้ว เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ ท่านคงจะมองแค่เพียงในแง่ของความน่าสมเพชเวทนา น่าสงสาร แต่ก็ไมีมีใครอยากที่จะเดินเข้าไปใกล้ ไปสนทนา หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนบ้า เพราะบางคนนั้น ความรู้สึกที่มีต่อคนบ้าสักคนหนึ่งที่เขาได้ประสบพบเห็น อาจไม่ใช่แค่เพียงความรู้สึกสมเพช สงสาร หรือเห็นใจ แต่อาจหมายถึงความรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง และหวาดกลัวคนบ้าไปเลยก็มี
เมื่อพูดกันในทางกฎหมายแล้ว คนบ้าถือว่าทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะเขาไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีความสำนึกตระหนักรู้ หรือมีความสำนึกผิดถูกชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ
คนบ้ามักมีอารมณ์ ความรู้สึก ไม่อยู่กับร่องกับรอย ขึ้นๆ ลงๆ หรือไม่ก็อาจจะเกรี้ยวกราด อาละวาด ทำร้ายคนอื่นได้
เมื่อใครก็ตามถูกคนบ้าทำร้ายแล้ว ก็ไม่สามารถเอาผิดในทางกฎหมายใดๆ กับคนบ้าได้ เท่ากับเจ็บตัวฟรี เสียชีวิตฟรี ไม่มีการเอาผิดกับคนบ้า ทั้งในคดีแพ่งและอาญาใดๆ
ดังนั้น จึงไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้คนบ้า เพราะรู้สึกว่าไม่คุ้มกับสิ่งที่อาจต้องเสี่ยงหรือเผชิญเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนบ้า
แต่ก็มีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งอีกเช่นเดียวกัน ที่ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา ต้องสัมผัสและอยู่ใกล้ชิด พูดคุย และคอยทำความเข้าใจกับคนบ้าอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกแปลกแยกแต่อย่างใด
บุคคคลกลุ่มที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต หรือดูแลให้การรักษาในด้านจิตเวช เพื่อวัตถุประสงค์หลัก ๒ ประการ ก็คือ ๑) ทำการรักษา เยียวยา บำบัดทางจิต เพื่อให้ผู้ป่วยทางจิต หรือคนบ้า ที่เราเรียกกันมาตั้งแต่ต้นบทความแล้วนั้น ให้หายจากอาการผิดปกติทางจิต กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนในสังคมได้ตามปกติ และ ๒) การดูแลคนไข้ที่มีการทางจิต ที่ไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์และผู้ดูแล เพื่อไม่ให้ไปก่อความเดือดร้อนรำคาญ หรือสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่นได้
ต้องขอขอบคุณและขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีหน้าที่ดูแลรักษา บำบัดอาการความผิดปกติทางจิตให้กับผู้ป่วยทุกๆ คน ที่เข้ารับการรักษา เพื่อให้เขาหล้านั้น หายจากอาการป่วยหรือความผิดปกติทางจิต หรืออย่างน้อยก็คอยพูดคุย ดูแล ควบคุมให้เขาเหล่านั้นได้รับการดูแลในแบบที่พวกเขาควรได้รับ ในสถานที่ที่เป็นเขตควบคุมเฉพาะของทางการแพทย์
ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์เหล่านี้ ต้องมีความเข้าใจคนไข้ที่เข้ารับการบำบัดรักษาในระดับที่ดีมากๆ เป็นพื้นฐานเสียก่อน หลังจากนั้นก็ต้องอาศัยความอดทน ความเพียรพยายามในการใช้สรรพวิธีการทางจิตวิทยา หรือศาสตร์ทางจิตแพทย์ เพื่อหวังจะช่วยแก้ไขปรับจูนความคิด สติสัมปชัญญะ ความรู้เนื้อรู้ตัวของของคนไข้ให้กลับคืนมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน
ทั้งหมดที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นบทความ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อเสียของคนบ้าทั้งนั้น
แต่คนบ้าก็ยังมีข้อดีหรือแง่มุมที่ดีอยู่เช่นเดียวกัน มุมมองของคนบ้าซึ่งคนส่วนใหญ่อาจไม่เคยมองเห็น หรืออาจไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย
คนบ้านั้น หากเราลองสังเกตสังกาดูดีๆ แล้ว ก็จะพบว่า คนบ้า….บางทีเขาก็ทำหน้าที่สอนธรรมะให้เราได้เห็นเหมือนกัน เพียงแค่เราเองอาจไม่เคยรับรู้มาก่อน เพราะมัวไปมองแต่เพียงแค่เปลือกนอกของเขาว่าเขาเคนบ้า
อันที่จริงแล้ว เมื่อเราลองเปิดใจพิจารณาดูภายในจิตใจของคนบ้า หรืออาการที่คนบ้าส่วนใหญ่แสดงออกมาแล้ว ก็จะเห็นว่า
บางที คนบ้าก็กลับยิ้ม หรือหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขด้วยซ้ำ ในขณะที่คนดีๆ อย่างเรายังทำไม่ได้แบบเขาเลย”
นั่นแสดงให้เห็นว่า “บางที การได้ปล่อยใจไม่ให้ไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องคนอื่นออกไปจากความคิด ออกไปสมองเสียบ้าง ให้ใจได้มีอิสระในแบบที่ควรจะเป็น เลียนแบบพฤติกรรมซึ่งเป็นข้อดีของคนบ้า ที่ไม่ต้องไปสนอกสนใจเรื่องอะไร ไม่ต้องไปใส่ใจ ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปแคร์อะไรทั้งสิ้น ปล่อยใจของเราให้ว่างจากอารมณ์ที่ต้องแบกรับ ยึดมั่น ยึดถืออย่างจริงจังเอาเป็นเอาตายได้แล้ว บางที ชีวิตเราอาจจะเบาสบาย และเป็นชีวิตที่ง่ายกว่าที่รู้สึกและที่เป็นไปอยู่นี้ ณ ขณะนี้ก็เป็นได้….