มนุษย์กับสังคม
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่โดยลำพังตัวคนเดียวได้ จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนรอบข้าง และมีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างในสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และแน่นอนที่สุด เมื่อมนุษย์ต้องมีการประสบพบเจอ ต้องพบปะพูดคุย ช่วยเหลือเกื้อกูล การขัดแย้งกันในบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ก็ย่อมเป็นสาเหตุนำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
แน่นอนที่สุดว่า เมื่อมนุษย์เรามีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ก็ย่อมเป็นสาเหตุที่จะนำมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจกัน มีความปรารถนาที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน สร้างสังคมแห่งความสันติสุขให้บังเกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้
แต่ในทางตรงกันข้าม หากมนุษย์มีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้าม คือ มีความสัมพันธ์กันในทางลบ มีความสัมพันธ์กันในเชิงขัดแย้ง ไม่ลงรอยกัน หรือมีความกระทบกระทั่งกัน ละเมิดสิทธิ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สมบัติ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ด้วยกันแล้ว
ก็ย่อมลงเอยด้วยการประหัตประหารกัน การลงไม้ลงมือทำร้ายกัน การด่าทอประชดประชันกัน การเข้าไปทำลายสิ่งของหรือบุคคลอันเป็นที่รักของกันและกัน ก่อกวน ผูกอาฆาตมาดร้าย ทำลายกันด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อประสงค์ให้อีกฝ่ายซึ่งตนเองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีด้วยนั้น ฉิบหายวายวอด เป็นเดือดเป็นร้อน ทุกข์ทนทรมาน แม้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนต้องตายทั้งเป็น
จนกระทั่งมุ่งหมายทำลายกันให้เลือดตกยางออก หรือแม้กระทั่งการลงมือกับอีกฝ่ายจนกระทั่งถึงแก่ความตายก็มี นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความเลวร้าย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และแน่นอนที่สุด สังคมมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงลบลักษณะเช่นนี้ ก็ย่อมสร้างภาพลักษณ์และสัมพันธภาพระหว่างสังคมมนุษย์ด้วยกันในทางที่ย่ำแย่เสื่อมทรามไปด้วย
ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน หรือสัมพันธภาพที่ย่ำแย่เสื่อมโทรมระหว่างกันก็ตาม หากเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ ก็ขอเลือกเป็นสัมพันธภาพที่ดีกับทุกๆ คน เพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายที่จะตามมาดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นนั้น
แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือเหตุการณ์แห่งความสัมพันธ์ที่เลวร้ายนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวเราเอง หรือตัวเราเองไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นเรื่องราวก่อน หรือแม้กระทั่งตัวเราเองพยายามหลีกเลี่ยงแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมลดราวาศอก ไม่ยอมรามือ อย่างนี้ก็ต้องพยายามหลีกหนีกับบุคคลเช่นนั้นให้ห่างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือไม่ก็ต้องพึ่งกฎหมายบ้านเมือง และผู้รักษาความสงบเรียบร้อยดีงามภายในบ้านเมืองมาช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง เพราะลำพังตัวเราเองกับคู่กรณีไม่ได้มีศักยภาพมากพอที่จะจบปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันนั้นได้
เหตุการณ์หรือเรื่องราวเช่นนี้ ก็เห็นมีอยู่บ่อยครั้งในสังคมเรา ไม่แน่ ในวันหนึ่งข้างหน้านี้ อาจจะมาถึงคิวของตัวเราเองก็เป็นได้
แต่สัมพันธภาพอันขัดแย้ง ร้าวฉาน ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากันสัมพันธภาพที่ผู้เขียนจะได้กล่าวต่อไปนี้ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ปัญหาความขัดแย้งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น ยังสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ หรือสามารถจัดการได้ เพราะตัวคู่ขัดแย้งกับเราก็ยังมองเห็นตัวเห็นตนกันอยู่ และพฤติกรรมของเขาก็กระทำหรือพูดออกมาโดยเปิดเผย จึงเป็นการง่ายที่จะหลบหลีกการปะทะ หรือสามารถบริหารจัดการกับปัญหาความขัดแย้งนั้นได้
สัมพันธภาพที่กล่าวว่าน่ากลัวกว่าคู่ขัดแย้งของเราโดยตรงก็คือ สัมพันธภาพที่ดูเหมือนกับว่าจะไปได้ดี หรือพอไปกันได้ แต่กลายเป็นสิ่งที่เป็นเสี้ยนคอยทิ่มแทงใจให้ได้รับความลำบาก หรือได้รับความรำคาญทางจิตใจไม่น้อย และอาจส่งผลเลยเถิดอันตรายยิ่งไปกว่าก็คือกลุ่มสัมพันธภาพที่ดูเหมือนว่าเราจะพอรับได้ แต่เป็นสัมพันธภาพที่คอยกัดกิน บั่นทอนกำลังใจ และพลังแห่งชีวิตของเราให้พลันมอดดับลงยิ่งกว่าการปะทะกันแบบจังๆ แบบนี้น่ากลัวกว่ากันเยอะ
คน 5 ประเภทที่ไม่ควรคบ
บุคคลที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ คน 5 ประเภท หรือ คน 5 แบบ ที่เราไม่ควรฝากอนาคตไว้กับเขา ไม่ควรฝากความหวังไว้กับเขา และในที่สุดก็คือ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาจะเป็นการดีที่สุด ถ้าหากหวังจะให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปได้ ก็โปรดหลีกเลี่ยงบุคคลทั้ง 5 ประเภทนี้เสีย ซึ่งบุคคลทั้ง 5 ประเภทนี้ ได้แก่
1. คนที่ไม่รักษาคำพูด ไม่รักษาสัญญา
คนประเภทนี้ คือคนที่พูดจาสัญญากันเป็นมั่นเหมาะ ตกปากรับคำกับเราหรือคนอื่นก็ตามเสียเป็นดิบดี แต่พอถึงเวลาก็ไม่สามารถทำตามอย่างที่เคยพูดหรือเคยสัญญาไว้ได้ ทำทีเป็นหลงลืมไปหมด ทำเนียนว่าไม่เคยพูด ไม่เคยลั่นวาจาอะไรไว้ คนแบบนี้เราก็ไม่ควรไปฝากอนาคตไว้ด้วย
เพราะถึงแม้ว่าเราจะเสียสละทุ่มเทไปกับคนประเภทนี้สักเท่าไรก็ตาม ผลที่ได้ก็คือความผิดหวัง การเสียความรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่า การอกหักครั้งแล้วครั้งเล่า ทางที่ดีให้ห่างคนประเภทนี้ไว้เสียดีกว่า เพราะคบไป รู้จักกันไป หรือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเท่าไร ก็รังแต่จะทำให้เสียเวลา เสียอนาคต เสียความรู้สึก เสียความเคารพ เสียความนับถือ และเสียอะไรต่อมิอะไรมากมายไปกับความเอาแน่เอานอนกับเขาไม่ได้ มองว่าเขาไม่มีตัวตนหรือไม่มีราคาพอที่จะมาคู่ควรกับคนอย่างเราไปเลยก็ได้ อย่าได้เสียเวลาอยู่กับคนประเภทนี้นานไปกว่านี้เลย
2. คนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
คนประเภทนี้คือ คนที่ไม่สามารถเก็บอารมณ์ที่เป็นด้านลบของตนเอาไว้ได้ เวลามีเรื่องอะไรที่ทำให้หงุดหงิด โกรธ โมโห หรือไม่เป็นไปได้ดั่งใจของเขา สิ่งที่เขาจะแสดงออกมาก็คือ อาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว โมโห พาลกับคนอื่นไปทั่ว หรือมีมารยาทในการแสดงออกทางอารมณ์ค่อนข้างตื้นเขิน ใจเสาะ ขี้ใจน้อย บอบบางทางความรู้สึก
คนประเภทนี้จะมอบงานอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวให้ทำไม่ได้เลย เพราะถ้าหากไม่เป็นไปได้ดังใจของตนแม้เพียงเล็กน้อยแล้วละก็ เขาก็พร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้พังครืนลงมา เพียงเพื่อเซ่นสรวงสังเวยให้กับความไม่พอใจของเขาเพียงเล็กน้อย เมื่อทำงานกับคนประเภทนี้ เราก็พลอยอารมณ์เสียไปด้วย พลอยมีจิตใจที่ขุ่นมัวไปด้วย เราจึงควรหลึกเลี่ยงคนประเภทนี้ให้ห่างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มอบงานใหญ่ให้ทำ ไม่ไปตั้งความหวังอะไรไว้ ห้ามมิให้คนประเภทนี้ทำงานบริการ งานประชาสัมพันธ์ หรืองานประสานงานกับคนอื่นหน่วยงานอื่นอย่างเด็ดขาด หาไม่แล้ว ผลที่ตามมาอาจจะเกินกำลังที่จะรับไหวก็เป็นได้
3. คนที่ไม่เคยโทษตัวเอง เอาแต่โทษคนอื่น
คนประเภทนี้ จะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล เขามักจะคิดเสมอๆ ว่า งานทุกอย่างถ้าหากว่าขาดเขาแล้ว จะไม่สามารถดำเนินไปได้ เป็นคนขึ้วิตกกังวล เป็นคนขี้ระแวง และไม่ไว้ใจใครให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มักรวมงานมากองไว้ที่ตนเองเพียงคนเดียว หรือมักจะตัดสินใจงานทุกอย่างด้วยตัวเองเพียงลำพัง
และแน่นอนว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลามีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นมา คนประเภทนี้จะเสียหน้าไม่ได้ และจะไม่ยอมกลายเป็นคนผิด หรือต้องกลายเป็นคนที่ต้องถูกตำหนิจากใครใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเค้าถือว่า เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก เพราะฉะนั้น ความผิดพลาดใดๆ ที่จะเกิดขึ้นจากตัวเขาเองย่อมเป็นไปไม่ได้ และไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น และแม้นว่าหากจะเกิดความผิดพลาดขึ้นจริง นั่นก็ต้องเป็นเพราะว่าคนอื่นทำผิดพลาดแน่ๆ ต้องไม่ใช่ตัวเขาเอง
ดังนั้น คนประเภทนี้ เมื่อเกิดมีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาก็จะต้องหาคนผิดมารับผิดชอบให้ได้ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะทำผิดพลาดจริงหรือไม่ก็ตาม หนักสุดแม้ว่าจะหาแพะมารับความผิดนั้นแทนตนเองก็พร้อมจะกระทำได้เสมอ จะสังเกตเห็นได้ว่า คนประภทนี้จะคอยโทษนั่นโทษนี่ โทษคนนั้นคนนี้ว่าเป็นคนผิด โดยที่ไม่มองมาที่ตัวเองบ้างเลย
นั่นเป็นเพราะอะไร ก็ต้องตอบว่า เขามีความมั่นใจในตัวเองสูงมากๆ ว่า คนอื่นผิดได้ แต่ต้องไม่ใช่ตัวเขา เพราะเขาเก่งสุด ดีสุด สมบูรณ์แบบที่สุด ความผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น จะมีสาเหตุมาจากตัวเขานั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตนี้ (ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะพอมองออกว่าเป็นความผิดของตัวเขาเองก็ตาม ก็ยังหลอกตัวเอง ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเสียหน้า และไม่ยอมเป็นคนผิดโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น)
4. คนที่เชื่อแต่ความคิดของตัวเอง แต่ไม่ฟังความคิดของคนอื่น
คนประเภทนี้ก็คล้ายๆ กับคนประเภทที่ 3 นั่นแหละ ต่างแต่ว่า คนๆ นี้ จะไม่โฟกัสไปที่ความบกพร่องผิดพลาดของตัวงานหรือตัวบุคคล แต่มีทิฏฐิและความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากๆ ผลักดันเฉพาะความคิด หรือแนวความคิดของตัวเองมาใช้ในการขับเคลื่อนงานส่วนรวมหรืองานขององค์กร ไม่เคยฟังความคิดเห็นของคนอื่น
ถึงแม้ว่าความคิดเห็นของคนอื่นจะฟังดูเข้าท่า และมีเหตุผลมากกว่าความคิดเห็นของตนสักเท่าใดก็ตาม ก็ยังเอาความคิดเห็นของตนเป็นศูนย์กลาง ไม่ฟังความเห็นของคนอื่นเลย หรือถ้าหากจะฟังความคิดเห็นของคนอื่น ก็ทำประหนึ่งว่าฟัง ทำประหนึ่งว่าสนใจ ทำประหนึ่งว่าให้ทุกคนระดมสมอง ระดมความคิดเห็นเข้ามา แต่ก็มีธงหรือตั้งธงไว้ในใจอยู่แล้วว่า อยากจะให้เป็นไปในทิศทางทางความคิดที่ตนเองได้วางแผนเอาไว้
ในการประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นจากคนอื่นนั้น จึงเป็นเพียงแค่พิธีกรรม หรือวิธีการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองเท่านั้น ท้ายที่สุด ก็เอาความคิดเห็นของตนเป็นบรรทัดฐานอยู่ดี คนประเภทนี้ ก็ไม่น่าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือให้ความร่วมมือด้วยเลย เพราะนอกจากจะไม่สนใจคนอื่น ไม่แคร์คนอื่นแล้ว ยังบ่งบอกถึงความเห็นแก่ตัวของเขาได้อย่างชัดเจน และอาจจะนำพาทีมให้ล่มจมได้ไม่ยากเย็น หากความคิดเห็นของเขานั้น เป็นความคิดเห็นที่ผิดพลาดและไม่รัดกุมรอบคอบเพียงพอ
5. คนที่ผิดพลาดซ้ำๆ แต่ไม่เคยปรับปรุงแก้ไข
คนประเภทนี้ มักจะทำผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ในกรณีเดิมๆ ในสถานการณ์เดิมๆ ไม่เคยที่จะนำเอาบทเรียนหรือประสบการณ์ความผิดพลาดครั้งก่อนๆ มาเป็นครูสอนให้ระมัดระวังและไม่ก้าวเดินเข้าไปสู่ความผิดพลาดแบบเดิมซ้ำรอยอีก
เหมือนที่มีคนกล่าวว่า คนเราไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด และทุกคนพร้อมที่จะให้อภัยคนที่แม้จะเคยทำเรื่องที่ผิดพลาดมาก่อน แต่รู้จักนำเอาบทเรียนหรือประสบการณ์ที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาไม่ให้กลับไปผิดซ้ำในเรื่องเดิมได้อีก คนเราผิดพลาดกันได้ เป็นเรื่องธรรมดา
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั่ง แต่ถ้าหากว่าคนเราผิดพลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่ได้ไม่รู้จักปรับปรุงแก้ไข แบบนี้เรียกว่าไม่พัฒนา ไม่มีการเรียนรู้ แบบนี้ก็ถือว่าไม่ควรให้โอกาสเขาให้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทางออกที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับคนประเภทนี้ก็คือ ไม่ควรนำเข้ามาร่วมทีมกับเรา เพราะโอกาสที่จะพาทีมล่มจมหายนะ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะทุกเวลา อย่าได้พาตนเอง ทีม หน่วยงาน หรือองค์กร ไปเสี่ยงกับคนที่ไม่รู้จักเรียนรู้และพัฒนาตนเองแบบนี้อีกต่อไปเลย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับคน 5 ประเภท ที่เราไม่ควรฝากความหวังไว้กับเขา และไม่ควรพาตนเอง และองค์กรอันเป็นที่รักยิ่งของเราไปเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับบุคคลเหล่านี้เลย เพราะโอกาสเสียมีมากกว่าได้แน่นอนครับ
ลองสังเกตดูดีๆ นะครับว่า มีคน 5 ประเภทนี้ อยู่รายล้อมตัวคนอยู่หรือเปล่า หรือคุณเองมีประสบการณ์หรือเคยทำงานร่วมกับคนประเภทนี้บ้างหรือเปล่า เพราะถ้าหากมีแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้หลีกห่างออกมาให้ไกลๆ เท่าที่จะไกลได้ เพราะถ้าหากคุณเข้าไปคบหากับบุคคลเช่นนี้แล้ว อนาคตที่สวยงาม ภาพแห่งความสำเร็จที่คุณปรารถนาและต้องการจะเห็น มันก็อาจจะพังครืนลงมาได้อย่างง่ายๆ ด้วยฝึมือของคนประเภทที่ได้กล่าวถึงไปแล้วนั้นครับ…