เชื่อว่าหลายท่านคงเคยเห็นและได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของ “พญาครุฑ” หรือ “ครุฑ” มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเชื่อว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจบารมี หรือความยิ่งใหญ่ ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับพญาครุฑกันก่อนว่า พญาครุฑนั้นคืออะไรกันแน่
ครุฑ เป็นพญานกที่เป็นทิพย์ จัดเป็นเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกาที่มีทิพยสมบัติต่างๆ ตามบุญกุศลที่ทำมา ครุฑจัดเป็นสัตว์ดิรัจฉานที่มีกายทิพย์ เป็นสัตว์ดิรัจฉานกึ่งเทพ มีร่างกายใหญ่โต จัดเป็นพญาแห่งนก เป็นเจ้าแห่งเวหา เป็นสัตว์ที่มีปีกสวยงาม มีพละกำลังมากมายมหาศาล มีความแข็งแกร่ง แข็งแรง บินได้อย่างรวดเร็ว สามารถจำแลงกายเป็นอะไรก็ได้ตามปรารถนา มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะเป็นอย่างดี
ครุฑ 3 หรือ 5 ประเภท
ครุฑ สามารถจำแนกประเภทออกได้เป็น 3 หรือ 5 ประเภท คือ
1. ครุฑชั้นสูง แบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ประเภทอีก คือ
1.1 ครุฑชั้นสูงประเภทที่ 1 เป็นครุฑที่มีรูปร่างลักษณะร่างกายเหมือนเทพเทวดาทั่วๆ ไป ต่างแต่มีปีและบินได้เหมือนนก
1.2 ครุฑชั้นสูงประเภทที่ 2 เป็นครุฑที่มีรูปร่างลักษณะร่างกายคล้ายเทวดา แต่มีปากเหมือนนก
2. ครุฑชั้นกลาง เป็นครุฑที่มีรูปร่างลักษณะร่างกายคล้ายเทวดา มีปึก ปากและร่างกายบางส่วนเหมือนนก มีอุ้งเท้าและกรงเล็บเหมือนนก แต่มีมือเหมือนเทวดา จัดเป็นครุฑชั้นกลาง
3. ครุฑชั้นต่ำ แบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
3.1 ครุฑชั้นต่ำประเภทที่ 1 มีรูปร่างลักษณะร่างกายโดยปกติเป็นนกใหญ่มีปีก มีศีรษะเป็นเทวดา มีปากเป็นนก จัดเป็นครุฑชั้นต่ำ
3.2 ครุฑชั้นต่ำประเภทที่ 2 มีรูปร่างลักษณะร่างกายเป็นนกทั้งตัว เป็นนกใหญ่มีปีก จัดเป็นครุฑชั้นต่ำอีกประเภทหนึ่ง
ครุฑทั้ง 3 ประเภทใหญ่ หรือ 5 ประเภทย่อยนี้ สามารถบินได้อย่างรวดเร็ว เร็วกว่าการเหาะเหินของนาคและเทวดาองค์อื่นๆ มีกายสิทธิ์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าให้ตายได้ มีอายุยืนเสมือนหนึ่งว่าเป็นอมตะ
รัศมีหรือแสงสว่างที่เปล่งประกายออกจากกายของครุฑจะสว่างไสวกว่าเทวดาองค์อื่นๆ อย่างน่าอัศจรรย์ บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ หากครุฑตนใดมีรัศมีสว่างไสวเปล่งปลั่งมาก ก็หมายความว่าพลังฤทธิ์ของครุฑตนนั้นก็จะมีมากตามไปด้วย
“พญาครุฑ” หรือ “ครุฑ” นี้ จัดเป็นเทวดาประเภทหนึ่งในชั้นจาตุมมหาราชิกา หรือในสวรรค์ชั้นที่ 1 มีเทวดาผู้เป็นใหญ่คือหนึ่งในท้าวจาตุมมหาราชปกครองดูแลอีกทีหนึ่ง คืออยู่ในการปกครองของ ท้าววิรุฬหก ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้
ครุฑชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตร-เทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา สามารถแปลงกายได้ จะได้เสวยทิพยโภชนาหาร คือ อาหารทิพย์แบบเทวดา
ดังนั้น “ครุฑ” จึงถือว่าเป็นหนึ่งในจำพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาด้วย
บุพกรรมที่ทำให้เกิดเป็นครุฑ
บุพกรรมที่ทำให้ได้มาเกิดเป็นครุฑ ก็เพราะในอดีตชาตินั้น ได้ทำบุญเจือด้วยโมหะ (ความหลงในที่นี้ หมายถึงความหลงในกามคุณทั้ง 5) ด้วยบุพกรรมอย่างนี้ จึงต้องมาบังเกิดเป็นพญาครุฑ อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 1 หรือสวรรค์ชั้น “จาตุมหาราชิกา”
ที่อยู่ของครุฑ
ครุฑนั้นมีทั้งในภพภูมิของมนุษย์ ในป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้ว ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา (ป่าไม้งิ้วหรือวิมานฉิมพลี (สิมพลี) ตั้งอยู่ ณ ชั้นที่สองรอบภูเขาสิเนรุ ส่วนชั้นที่หนึ่งอยู่ในมหาสมุทรสีทันดร จะเป็นที่อยู่ของพญานาค)
ที่อยู่อาศัยของพวกครุฑนั้น อยู่เกือบสุดขอบแดนของสวรรค์ชั้นที่ 1 คือ สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา เป็นป่าทิพย์ส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์ หรือป่าไม้งิ้ว ป่าไม้ฉิมพลี หรือ สิมพลี ภพของครุฑนั้นอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์มาก มนุษย์จึงกล่าวถึงครุฑน้อยกว่านาค ครุฑบางชนิดนั้น จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ จึงทำให้ครุฑกับนาคเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด
ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ ครุฑบางประเภทผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก จะสมัครใจไปเป็นเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์สัตว์นรก
กำเนิดครุฑ 4 จำพวก
ครุฑมีกำเนิดได้ 4 จำพวก คือ
- จำพวกโอปปาติกะ เกิดแล้วโตเป็นหนุ่มเป็นสาวในทันที ครุฑประเภทนี้ มีอานุภาพมาก มีฤทธิ์มาก มีวิมานอยู่ประหนึ่งเทวดา ครุฑประเภทนี้ บางจำพวกสมัครใจไปเป็นผู้ลงทัณฑ์สัตว์นรก
- จำพวกชลาพุชะ เกิดจากครรภ์ คือเกิดในท้องของมารดา คือถือกำเนิดในท้องของมารดาและคลอดออกมาจากท้องของมารดา เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
- จำพวกอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ คือครุฑจำพวกที่เกิดในไข่ เช่นเดียวกันกับสัตว์จำพวกนก และจำพวกสัตว์ปีกทั้งหลาย คือหลังจากปฏิสนธิแล้วจะบังเกิดเป็นไข่เจริญอยู่ในท้องของมารดาในระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะตกไข่ออกมา เจริญเติบโตอยู่ในไข่ในระยะหนึ่งแล้วก็จะกะเทาะไข่ออกมาเป็นลูกครุฑ เจริญเติบโตและมีพัฒนาการตามลำดับ
- จำพวกสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม คือ ครุฑอีกจำพวกหนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตจากเหงื่อไคล หรือสิ่งหมักหมมแล้วจึงก่อเกิดเป็นตัวจากสิ่งหมักหมมเหล่านั้น
9 พญาครุฑผู้เลื่องชื่อ
1.พญาสุบรรณ
มีร่างเป็นทองคำทั้งองค์ มีขนอยู่ 7 สี มีพระอาคมสูง เรียกเงิน เรียกทอง เรียกสมบัติเข้าบ้านเข้าร้าน เป็นดั่งท้องพระคลัง.
2.พญาครุฑเวชไชยยันต์ หรือ พญาครุฑเวชยันต์
มีร่างกายเป็นเพชรทั้งองค์ เป็นผู้ที่ไล่ภูตผีปีศาจ และเป็นพญาครุฑที่ชุบชีวิตพญานาคทั้งหมดเป็นล้านๆตัว เป็นองค์พญาครุฑที่มีความกตัญญูต่อบุพการีมากที่สุด ใครที่บูชาพญาครุฑต้องหมั่นทำความดี และจะมีบุญวาสนา และที่สำคัญควรมีศีลธรรมอยู่ในใจเป็นหลัก.
3.พญาเวนไตย หรือ พญาเวนไตรย
มีร่างกายเป็นมรกตมีฤทธิ์เดชมาก เป็นองค์ที่สู้กับพญานาคและคอยสั่งสอนพญานาค ให้อยู่ในศีลธรรม ไม่ทำร้ายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงและเทพยดาทุกๆพระองค์ รวมไปถึงผู้ที่ถือศีลและผู้ที่ถือบำเพ็ญตบะเดชะด้วย องค์พญาครุฑเวนไตยนี้สามารถบินได้ทั่วจักรวาลและเอกภพ.
4.องค์วายุภัค
มีร่างกายเป็นสีขาว มีเมตตา มีบารมี มีอานุภาพต้านฟ้าต้านดินมิให้โลกแตกได้.
5.องค์พญาครุฑสัจจะมหาราช
มีร่างกายเป็นทับทิม มีหน้าที่คุ้มครองโลก ไม่ให้อุกาบาตตกมายังโลกมนุษย์ และจะบำเพ็ญไปอีก 2,500-5,000 ปี เพื่อไม่ให้น้ำท่วมโลกและแผ่นดินยุบ เป็นเทพที่กันไฟ ใครที่ได้บูชาจะมีบุญมีวาสนาและมีสมาธิดี.
6.องค์พญาครุฑปรเมศวร
มีร่างกายเป็นไพลิน หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “มหาราชเปิดขุมทรัพย์” เปิดขุมทรัพย์ให้ชาวโลก เป็นพญาครุฑที่มีทรัพย์สมบัติมากกว่าเทพเจ้า 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อีกทั้งมีบริวารเป็นท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เหนือกว่าเทพ 12 ราศี และพระอิศวรยังทรงประกาศให้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าอากาศ.
7.พญาทศยันต์มหาราช
มีร่างกายเป็นสีฟ้า เป็นผู้มียันต์ 10 ทิศ เป็นฤษีพญาครุฑผู้ถือศีล และเป็นผู้ที่สร้างความร่ำรวย ความเมตตาและเรียกเงินเรียกทองและโชคลาภ เป็นเทพเปิดขุมทรัพย์สำหรับคนยากจนและเศรษฐี เป็นเทพแห่งความกตัญญู เป็นเทพที่เสริมสร้างบารมีและบรรดาสรรพสิ่งบนโลกให้สำเร็จทุกประการ.
8.องค์พญาครุฑวัสสวัสมหาราช
มีร่างกายเป็นสีม่วงอมดำ ควบคุมทั้งจักรวาลและเอกภพ และอภิมหาเศรษฐี ผู้มีบุญญาธิการสูง ผู้มีความเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่มีตบะเดชะ และยังคอยดูแลองค์สมเด็จสมณโคดม และพระอริยะเจ้า และบุคคลที่กระทำความดี กตัญญูต่อบิดา มารดา สังคมและแผ่นดิน.
9.องค์พญาครุฑโทครุฑามหาราช
อยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นมหาราช คอยปราบผู้กระทำความผิด ตลอดจนถึงเหล่าเทวดาที่ประพฤติตนผิดจากศีลธรรมต่างๆ