pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

ถึงเวลาเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน

ถึงเวลาเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน

ชีวิตของคนเราทุกคน ตั้งแต่เกิดจนตาย เชื่อว่าทุกคนคงต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ก็เกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านกายภาพ และจิตภาพ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 แบบนี้ ก็มีความแตกต่างกันออกไป และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีทั้งแบบรวดเร็วอย่างปัจจุบันทันด่วน และค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปก็มี

การเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ

ชีวิตของเราตั้งแต่แรกเริ่มคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา ได้ลืมตามองดูโลกใบนี้ ลักษณะทางร่างกาย หรือพัฒนาการทางร่างกายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาโดยลำดับ จากที่เป็นเด็กทารกตัวเล็กๆ ก็ค่อยๆ เติบโตเรื่อยมา ค่อยๆ มีการพัฒนาการด้านความสามารถต่างๆ ผ่านการเรียนรู้จากคนรอบข้างตัวเรา เช่น คุณพ่อและคุณแม่ของเราเป็นต้น ซึ่งมีการพัฒนาการเรื่อยมาจนกระทั่งเป็นตัวเรา ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ และร่างกายนี้ ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแก่ชรา เสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะต่างๆ ลงตามลำดับ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต จึงถือได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพนั้น มีทั้งการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญเติบโตในทางบวก และเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมได้ในขณะเดียวกันอีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตภาพ

ดังที่เราได้ทราบกันแล้วว่า ชีวิตของคนเรานั้นประกอบไปด้วยร่างกาย และจิตใจเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการมีชีวิตอยู่ ทุกสรรพชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยกายและจิตประคับประคองประสานสอดคล้อง และอิงอาศัยซึ่งกันและกันจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” เพราะถ้าหากปราศจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็ไม่อาจจะเรียกว่า “ชีวิต” ได้เลย

“จิต” เป็นสภาพที่สามารถพัฒนาการได้ การพัฒนาการทางจิต โดยปกติแล้ว ก็จะพัฒนาควบคู่ไปกับการเจริญเติบโตทางร่างกาย หรืออาจจะเรียกได้ว่า การพัฒนาทางด้านจิตภาพมักเกิดขึ้นคู่ขนานไปพร้อมๆ กันกับการพัฒนาการด้านกายภาพเสมอ

แต่ก็ใช่ว่าทั้งสองอย่างนี้จะเกิดขึ้นควบคู่กันเสมอไป เพราะในบุคคลบางรายก็มีพัฒนาการทั้งสองอย่างนี้ไม่เท่ากัน ไม่พร้อมกัน และไม่สอดคล้องกันก็มี

จิตของเราจะค่อยๆ เรียนรู้ และเติบโต มีความรู้สึกสำนึก ตระหนักรู้ และเข้าใจในเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นเรื่องบาปบุญคุณโทษ เรื่องของความรับผิดชอบ เรื่องของความรัก เรื่องของอุดมการณ์ เรื่องของการเข้าใจโลกและชีวิตที่เป็นไปอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป

ดังนั้น ก็เท่ากับว่า ชีวิตของคนเราทุกคน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คือมีการพัฒนาการไปในทางที่เป็นบวก คือพัฒนาการไปในทางเจริญก็มี และพัฒนาการไปในทางลบ คือพัฒนาการไปในทางเสื่อมก็มีเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่มาบีบคั้นบังคับให้จิตใจของเรานั้น แปรเปลี่ยนไปในลักษณะใด

เมื่อพิจารณาจากปัจจับที่มาบีบบังคับ และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับคุณภาพจิตใจของคนเราแล้ว นั่นก็หมายความว่า จิตใจของเราสามารถที่จะพัฒนาให้เจริญขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งมุ่งเข้าสู่ภูมิของความเป็นอริยบุคคลได้ในที่สุด และก็เช่นเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม จิตใจของเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาแบบนี้ ก็สามารถดำดิ่งลึกจมลงไปสู่ความเสื่อมดำทะมึนในทางลบได้อย่างมากเกินจะคาดเดาได้เช่นเดียวกัน นั่นขึ้นอยู่กับว่า เราจะเลือกให้จิตของเรานั้นเข้าไปข้องแวะเกี่ยวพันกับปัจจัยแวดล้อมชีวิตของเราอย่างไรนั่นเอง ตราบเท่าที่เรายังไม่เป็นผู้เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล หรือเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานอันหมายถึงพระโสดาบันเป็นต้น จิตของเราก็ย่อมผกผันเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีอะไรสามารถจะมาการันตีคุณภาพของจิตของเราได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะจิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดนั่นเอง

เราจะสังเกตเห็นได้อย่างง่ายๆ ว่า จิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่นิ่งคงสภาพแบบเดิมอยู่ได้ตลอดไปก็ด้วยเหตุผลที่ว่า คนเราย่อมมีความรู้สึกดีใจบ้าง เบิกบานยินดีบ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง รู้สึกท้อใจบ้าง หดหู่บ้าง เหนื่อยใจบ้าง รู้สึกมีพลังซู่ซ่าขึ้นมาบ้าง รู้สึกมีแรงผลักดัน มีแรงจูงใจบ้าง รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลยบ้าง รู้สึกโกรธบ้าง รู้สึกหงุดหงิดบ้าง รู้สึกตื่นเต้นบ้าง รู้สึกกลัวบ้าง จิตใจของเราก็วนเวียนไปกับสิ่งที่เป็นความรู้สึกขึันๆ ลงๆ แบบนี้ ตามสถานการณ์ และตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบและบีบคั้นจิตของเราให้เป็นไปต่างๆ นาๆ ตราบใดที่จิตของเรายังไม่ก้าวผ่านข้ามพ้นสู่ความเป็นพระอริยบุคคล

ดังนั้น ชีวิตของคนเรานั้น ก็แวดล้อมไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ทั้งทางกายภาพและจิตภาพ และก็อีกเช่นเดียวกัน สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง แม่น้ำ ทะเล ภูเขา ทุกอย่างต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น ต่างแต่ว่าเปลียนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบปัจจุบันทันด่วน หรือค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ก็เท่านั้นเอง

ตัวของเราเอง จิตใจของเราเอง ก็ยังไม่นิ่งอยู่อย่างเดิม ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ดังนั้น เราจะคาดหวังให้คนอื่นต้องเป็นอย่างเดิม ต้องเป็นเหมือนเดิม ต้องรู้สึกกับเราเหมือนเดิม ต้องรักเราเหมือนเดิม ต้องอยู่กับเราเหมือนเดิม หรือให้เค้าเป็นอะไรในแบบเดิมๆ หรือในแบบที่เราต้องการฝ่ายเดียวก็คงจะเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถ้าหากเราไม่เข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว เมื่อเห็นคนที่เรารัก หรือคนที่แวดล้อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับเรา เค้าเปลี่ยนไป ตัวเราเองก็จะเป็นทุกข์ ตีโพยตีพาย และยอมรับความจริงไม่ได้ เฝ้าแต่ถามใจตัวเองอยู่ว่า ทำไมเค้าถึงเปลี่ยนไป เราไม่ดีตรงไหน หรือเราทำอะไรให้เขาไม่ถูกใจ ทำอะไรให้เขาไม่พอใจ หรือว่าเพราะเขาหมดรัก หมดศรัทธา หมดหวังในตัวเราแล้ว หรืออย่างไรกันแน่ ซึ่งต่อให้เราเป็นคนดีเหมือนเดิม ทำตัวดีเหมือนเดิม หรือพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เขารัก เขาพอใจมากแค่ไหนก็ตาม คนที่เขาเปลี่ยนใจแล้ว คนที่เขาหมดรัก คนที่เขาหมดใจ ยังไงๆ เขาก็ไม่สามารถกลับมามีความรู้สึกเหมือนเดิมกับเรา หรือกลับมามีความสัมพันธ์กับเราเหมือนเดิมกับเราได้อีกต่อไป เพราะคนเราไม่สามารถไปบังคับจิตใจกันได้ คนไม่รัก ยังไงก็คือไม่รัก ป่วยการ และเปล่าประโยชน์ที่จะไปถามหาเหตุผล และบังคับบัญชาให้เขากลับมารู้สึกกับเราเช่นเดิมได้อีกต่อไป ทางที่ดีก็ต้องเข้าใจว่า “อะไรจะเปลี่ยน มันก็ต้องเปลี่ยน” แล้วก็ทำใจ ปลงใจให้ได้ ยอมรับความจริงให้ได้ แล้วจิตใจที่รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกไม่ได้ดั่งใจของเราก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายและเบาสบายกว่าเดิม ลองทำดูนะครับ แล้วจะเห็นว่าเป็นจริงดังว่ามานี้หรือเปล่า

ไม่ใช่จะมีแต่เพียงคนเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แม้สิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่นข้าวของเครื่องใช้ รถราม้าช้าง เรือกสวนไร่นา บ้านช่องห้องหอ หรืออะไรก็ตามที่อยู่รอบๆ ตัวเรา มันก็กำลังตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่แบบเดิมได้ตลอดไป โดยไร้วี่แววว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักอย่าง

ถ้าหากว่า คนเรารับความจริงข้อนี้ไม่ได้ ไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงข้อที่ว่า “ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา” ก็จะเป็นทุกข์ เวลาของที่รัก ของที่หวง ต้องเปลี่ยนแปลงแปรสภาพไปเป็นอย่างอื่น หรือต้องชำรุดทรุดโทรมเสียหายกลายสภาพไปเป็นอย่างอื่น นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงที่ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา” การเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น เป็นการเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แบบนี้ เมื่อความเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นมาถึง เราก็จะไม่ต้องทุกข์มาก หรือหาวิธีการคลายจากความทุกข์ได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

ดังนั้น ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจให้ตรงกันว่า “อะไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน”