มีใครเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ้างหรือไม่ว่า “การที่คนเราจะมีสุขหรือทุกข์ได้นั้น คนอื่นทำให้เราสุขหรือทุกข์ หรือแท้จริงแล้ว ตัวเรา ใจของเราเองนี่แหละ ที่ทำตัวของเรา ให้สุขหรือทุกข์ไปเอง”
คำถามที่ว่านี้ หลายคนอาจเคยตั้งคำถามกับตัวเอง หรือเคยเอะใจสงสัยในใจมาบ้างเหมือนกัน ดังนั้น คำถามนี้ จึงต้องมีคำตอบ
คำตอบก็คือ คนอื่นก็มีส่วนทำให้เรารู้สึกสุขหรือทุกข์ไปกับการกระทำหรือคำพูดของเขาได้เช่นกัน จะว่าไม่มีส่วนเลยก็ไม่ใช่ เพราะคนอื่นใช้การกระทำ หรือคำพูดมาเป็นสิ่งกระทบ หรือสิ่งเร้าให้ใจของเราเกิดความรู้สึกเป็นสุข หรือเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาก็ได้ ถ้าหากว่าใจของเราเองสยบยอมให้การกระทำหรือคำพูดของคนอื่น เข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจและความรู้สึกของเราจนเกินไป
ที่กล่าวอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะให้เราอยู่แบบไม่แคร์ ไม่สนใครเลย ไม่ใช่กำลังจะบอกว่าให้อยู่อย่างไม่ต้องไปสนใจคำสอน ความปรารถนาดี หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์จากผู้ที่หวังดี มีความเป็นกัลยาณมิตร สนิทสนมกันฉันพี่น้อง ผู้ที่คอยแต่จะจ้องชี้ขุมทรัพย์ให้เรา
ที่กล่าวอย่างนั้น ก็เพราะต้องการให้เราใช้สติปัญญาของเราในการกลั่นกรองว่า คำพูดหรือการกระทำจากผู้อื่น อย่างไหนคือสิ่งที่เราควรเก็บเอามาประดับดวงใจของเรา เพื่อพัฒนาชีวิตและจิตใจของเราให้ดียิ่งขึ้นต่อไปได้
พิจารณาด้วยปัญญาให้เห็นชัดได้อย่างถ่องแท้ว่า อย่างไหนควรมองข้าม หรือทิ้งลงถังขยะ เอาใส่ชักโครกกดน้ำทิ้งไปเสีย ไม่ต้องเอามาใส่ใจให้รกความทรงจำ
เพราะถึงจำไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ซ้ำร้ายยังจะก่อให้เกิดโทษ เสียศูนย์ความเป็นตัวเราไปเสียสิ้น เป็นสิ่งบั่นทอนสุขภาพจิต ขัดขวางทางเจริญรุ่งเรืองของชีวิต ฉุดรั้ง ดึงถ่วงชีวิตของเราให้จ่อมจมอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่สาระ จนเสียโอกาสในการพัฒนาชีวิตในส่วนที่จะได้พัฒนาไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเรื่องอะไรที่ไร้สาระพรรค์นี้
คำสรรเสริญ/และคำนินทา เป็นของที่มีส่วนเป็นจริงหรือมีมูลบ้างจากตัวเราก็จริง แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ออกจากปากของคนอื่นแล้ว ก็มีความหมายได้ 2 นัยด้วยกันคือ 1) ออกมาจากใจที่ปรารถนาดีโดยบริสุทธิ์ 2) ออกมาจากใจที่หวังร้าย ไม่ได้ปรารถนาดี
ซึ่งคำสรรเสริญและนินทานี้ ถ้าหากว่าออกมาจากปากคนอื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ดีไป เพราะเขาหวังจะให้เราได้หันมามองพิจารณาตนเอง เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของเรา คือหวังดีกับเราจริงๆ
ส่วนประเภทที่ 2 คือ พูดออกมาโดยไม่ได้หวังดีอะไร หวังโจมตี หวังทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หวังจะทำให้เสียผู้เสียคน หวังจะทำให้เราลังเลและไม่แน่ใจในเป้าหมายที่เรากำลังจะก้าวไป เพื่อตัดกำลังของเราให้ช้าหรือล้าหลังลง ทำตัวเป็นคู่แข่งกับเราไปในตัว แบบนี้ก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรให้มากมาย
เป็นธรรมดาอยู่เอง เวลาที่มีคนสรรเสริญเยินยอ ชื่นชมเรา ยกย่องเรา ไม่ว่าจะมาจากใจจริงหรือเพียงแค่ประจบประแจง หรือไม่ก็เป็นเพียงคำลวงหลอกล่อให้ดีใจเล่น ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้จิตใจของเรานั้นฟูฟ่องล่องลอย รู้สึกเป็นสุขขึ้นมาโดยทันที
แต่ในทางกลับกัน หากมีคนมานินทา ใส่ความเราในทางเสียหาย หรือคลุมเครือ ใจของเราก็ฟุบแฟบลงในทันทีที่ได้ยินหรือได้รับรู้ว่ามีคนนินทาว่าร้ายเรา
นั่นเป็นเพราะอะไร นั่นก็เป็นเพราะว่า ใจเราเองยังไม่ได้เป็นอิสระจากคำชื่นชมและคำนินทาของใครได้เลย ใจของเรายังเป็นทาสต่อคำพูดของคนเหล่าอื่น ไม่ได้มีความเป็นตัวของตัวเอง หรือภาษาบาลีว่า “อนัตตมโน – มีใจไม่ใช่ของตัวเอง หรือ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่นจะบงการให้เป็นอย่างไร ให้รู้สึกอย่างไร”
ดูผิวเผิน คำสรรเสริญจะมีผลดีโดยฝ่ายเดียว เพราะทำให้ใจของผู้ฟังหรือได้ยินรู้สึกมีความสุขใจ และฟูใจทุกครั้งที่ได้ยิน
แต่ก็พึงระวังไว้เถิดว่า คำสรรเสริญที่แฝงด้วยความประสงค์ร้าย หรือคำสรรเสริญที่เป็นความจริงนี่แหละ แต่ใจของเราเองเสพติดเฉพาะคำสรรเสริญเยินยอ คือจะต้องให้คนอื่นพูดถึงเราแต่ในทางที่ดี ในเชิงชื่นชมเท่านั้น เราถึงจะพอใจ แต่ถ้าหากพูดถึงเราในทางไม่ดี เราจะไม่พอใจ แบบนี้เรียกว่าเสพติดคำสรรเสริญ ซึ่งอาจส่งผลในทางร้ายได้เช่นเดียวกัน
ทางร้ายประการที่ 1 คือ มักถูกหลอกชม ตัวเราเองดีจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ตัวเอง ปล่อยให้คนอื่นเป็นคนให้ราคา ก็เลยถูกหลอกอยู่ร่ำไป
ทางร้ายประการที่ 2 คือ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะชื่นชมเราด้วยใจจริง หรือเรามีคุณสมบัติ มีความดี มีความรู้ มีความสามารถเพียงพอที่จะให้คนอื่นได้ชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญก็จริง แต่ถ้าหากว่าเรามัวแต่หลงชื่นชม ภาคภูมิใจในความสำเร็จของเราแบบเดิม ไม่เพิ่มเติมพัฒนาความดีอย่างใหม่ขึ้นมาบ้าง เราก็จะกลายเป็นคน “หลงตัวเอง” ได้ในที่สุด อย่างนี้ก็สามารถฉุดรั้งชีวิตให้ตกต่ำได้เช่นเดียวกัน
คำนินทา หากว่ามองดูเผินๆ อาจจะดูไม่น่าปรารถนาสักเท่าใดนัก แต่ให้เชื่อเถิดว่า มุมมองของคำนินทานั้น สามารถมองออกมาได้ 2 ทัศนะเสมอ นั่นก็คือ
1) เมื่อได้ยินคนอื่นนินทาเราแล้ว เราได้นำมาพิจารณาเป็นกระจกส่องใจ ส่องพฤติกรรมของเราว่าเป็นจริงอย่างที่คำคนนินทาหรือไม่ ถ้าหากว่าเป็นจริง ไม่ดีจริง ก็อย่าไปโทษคนอื่นเขา ให้เรานำความผิดพลาดของเรา แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป อย่างนี้ก็ถือได้ว่ามีประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตของเราได้ การวางใจต่อคำนินทานี้จึงมีประโยชน์
2) เมื่อได้ยินคำนินทาแล้ว เราไม่ได้คิดเอาคำนินทานั้นมาเป็นกระจกส่องใจ ส่องดูพฤติกรรมของเราบ้างเลย ตั้งป้อมโจมตีคนที่นินทาเหล่านั้นว่า เป็นคนไม่ดี ชอบซุบซิบ นินทา ว่าร้ายเราให้เสียหาย แล้วหาวิธีการจัดการกับคนที่นินทาเหล่านั้นแทนที่ แบบนี้จัดการอย่างไรก็คงไม่หมดสิ้น ใจเราก็คงจะทุกข์ทนทรมาน และเดือดดาลกับคำว่าร้ายเหล่านี้ไปจนตลอดชีวิต
ทางที่ถูกก็คือ เมื่อได้ยินคำนินทา ก็ให้เรามาพิจารณาตัวเราเองว่า เป็นไปอย่างคำที่เขานินทาหรือไม่ หากเป็นไปตามนั้นก็หันมาปรับปรุงพัฒนาตัวเราเองให้ดีต่อไป แต่ถ้าหากว่า ตัวเอาเองไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เขานินทาว่าร้าย ก็ไม่ต้องไปสนอกสนใจอะไรมาก ปล่อยๆ ไป เพราะเราไม่ได้เป็นเหมือนดังที่เขาว่า ยังไง “ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ” ไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมอง หรือให้เป็นพิษ เป็นสิ่งปฏิกูลรบกวนจิตใจ
ใจเราไม่เคยเป็นอิสระจากคำชื่นชมและคำนินทา
แม้ได้ยินคำชม ใจจะฟู แม้รับรู้คำนินทา ใจจะแฟบ
Cr. พระมงคลสุตกิจ ผจล.วัดกลางพระอารามหลวง เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์
มาออกแบบ เสริมสร้างจิตใจของเราให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับคำสรรเสริญและนินทาให้ได้ แล้วใจของเราจะได้สบาย ไม่ต้องไปฟูๆ แฟบๆ ขึ้นๆ ลงๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้…อีกต่อไป…