คำว่า ” มนุษย์” นั้น เป็นคำที่ถูกเรียกขานกันและเป็นที่นิยมใช้เรียกผู้คนที่อยู่ในสังคมโลกนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยเป็นคำเรียกแยกเฉพาะสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เวลายืนก็จะมีลำตัวตั้งตรงตั้งฉากกับพื้นโลก มีความคิดสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด มีวิวัฒนาการและมีการพัฒนาการมาอย่างไม่หยุดยั้ง ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
“มนุษย์” นั้น มีความแตกต่างจากสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ (สัตว์ดิรัจฉานหรือเดียรัจฉาน) ที่มีเป็นอันมากหลากหลายสายพันธุ์ในโลกใบนี้ ทั้งบนบก ในน้ำจืด ในทะเล และในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล
ความหมายทั่วไปของคำว่า “มนุษย์”
คำว่า “มนุษย์” มีความหมายกว่างและแคบแตกต่างกันไปตามคำอธิบายในแต่ละแหล่งอ้างอิง พอที่จะสรุปออกมาเพื่อพิจารณาเป็นรายข้อได้ 4 ข้อ ดังนี้
- “มนุษย์” แปลว่า “ผู้มีใจสูง” ได้แก่คนผู้มีมนุษยธรรม เช่น รักษาศีล 5 เป็นนิตย์ มีความเมตตา กรุณา เป็นต้น แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งยังเผื่อแผ่ไปสู่สรรพสัตว์ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกอื่นๆ อีกด้วย เพราะมนุษย์นั้น เป็นสัตว์ที่รู้จักคิดเหตุผล มีความคิดความอ่านอย่างเป็นระบบ รู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับบทบาท หน้าที่ ฐานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ เป็นสัตว์ที่มีจิตใจสูงส่งกว่าคนโดยทั่วไป คือ เป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยหลักคุณธรรมภายในจิตใจ และเพียบพร้อมไปด้วยหลักจริยธรรมที่แสดงออกมาผ่านการกระทำและคำพูด เป็นต้น มนุษย์จึงเป็นผู้ที่ทำทุกอย่างอยู่บนหลักการของเหตุผล ความถูกต้อง ความเป็นธรรม และไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน มีแต่จะทำประโยชน์แก่ตน ผู้อื่น และสังคมส่วนรวมเป็นสำคัญ มนุษย์ในความหมายนี้ จึงไม่ใช่ผู้ที่น่ากลัวตามความหมายเดิมที่เรารู้จักกันอีกต่อไป
- คำว่า “มนุษย์” หมายถึง ผู้คนในโลกใบนี้ทั้งหมด หมายถึง เหล่ามวลมนุษยชาติ ทั้งที่เป็นคนไทย และคนต่างประเทศ ต่างภูมิภาค และต่างทวีปกัน ก็หมายรวมในคำว่า “มนุษย์” ทั้งสิ้น
- คำว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความหมายมุ่งไปยังหลักมนุษยธรรม คือธรรมที่ทำคนให้เป็นมนุษย์ หรือธรรมที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ได้แก่ ศีล 5 และคุณธรรม เช่น เมตตา กรุณา เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้มนุษย์มีจิตใจที่สูงส่งกว่าสัตว์หรือคนธรรมดาทั่วไป
- คำว่า “มนุษย์” หมายถึง มนุษยโลก มนุสสโลก หรือโลกมนุษย์ หมายถึงโลกที่เราอาศัยอยู่นี้
ความหายของคำว่า “มนุษย์” ตามคำนิยามของหลวงพ่อพุทธทาส
หลวงพ่อพุทธทาส หรือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ให้ความหมายของมนุษยไว้ว่า หมายถึง “ผู้มีใจสูง” โดยท่านได้ประพันธ์ไว้เป็นคำกลอนไว้อย่างน่าสนใจ และกินความหมายลึกซึ้งว่า
โชคดีของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เป็นพุทธศาสนสุภาษิตตอนที่สำคัญตอนหนึ่งว่า “กิจโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ” แปลความตามภาษาไทยว่า “การได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง” เพราะการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น ถือได้ว่ามีโชคใหญ่ มีบุญใหญ่ บางทีก็มีวาสนา มีโอกาสมากกว่าเหล่าทวยเทพเทวดานางฟ้าเสียด้วยซ้ำ เพราะการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น ถือว่ามีโชคอันยิ่งใหญ่ ดังนี้
- การได้เกิดเป็นมนุษย์ สามารถมีเวทนาครบทั้ง 3 ประการ อันได้แก่ ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และความรู้สึกกลางๆ หรือที่เรียกกันว่าอุเบกขา (อุเบกขาเวทนา) ย่อมเป็นปัจจัยให้มนุษย์สามารถตรัสรู้อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐที่จะนำไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ได้ เพราะในอริยสัจ 4 นั้น เริ่มต้นข้อแรกด้วยคำว่า “ทุกข์” (ทุกขอริยสัจ) อันเป็นบันไดขั้นแรกของกระบวนการดับทุกข์ทั้งปวง ซึ่งความโชคดีนี้ เกิดได้เฉพาะในเพศหรือในวิสัยของมนุษย์เท่านั้น ไม่เกิดแก่ผู้ที่เกิดในภพภูมิอื่นนอกจากนี้ เพราะผู้ที่เกิดในอบายภูมิทั้ง 4 ก็ประกอบด้วยทุกขเวทนามากเกินไป อีกทั้งปัญญาในอันที่จะทำให้ตรัสรู้ หรือรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4 ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนผู้ที่เกิดในภพภูมิของเทวดาชั้นฉกามาพจรทั้ง ๖ ชั้น อรูปพรหมทั้ง 16 ชั้น และอรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น ก็มีเสวยสุขเวทนามากเกินกว่าจะรับรู้ถึงรสแห่งทุกขเวทนาได้ และเป็นการเสวยสุขเวทนา (ความสุขอันเป็นทิพย์) ด้วยอำนาจแห่งบุญ และอำนาจแห่งฌานสมาบัติสิ้นระยะเวลาอันนานแสนนาน จึงเป็นผู้ที่ไม่เหมาะแก่การได้บรรลุธรรมเหมือนกับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์
- การได้เกิดเป็นมนุษย์ สามารถทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญวิปัสสนาภาวนา เพื่อพัฒนาระดับของจิตใจของตนให้สูงส่งเพียงเท่าใดก็ได้ ตามแต่กำลังสติ กำลังปัญญา กำลังความสามารถ ของแต่ละคนที่สามารถจะทำได้ ในขณะที่ภพภูมิอื่นๆ นอกจากนี้ ไม่สามารถทำได้
ดังนั้น มนุษย์ จึงเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวในทุกภพภูมิที่มีอยู่ในโลก ที่นับได้ว่าโชคดีมากกว่าสัตว์ที่ไปเกิดในภพภูมิอื่น เพราะสามารถตรัสรู้และบรรลุธรรมได้ สามารถบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญวิปัสสนาภาวนา ยกระดับจิตของตนสู่ความเป็นพระอริยบุคคล และบรรลุความเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
ในทางตรงกันข้าม ในความโชคดีก็มีความโชคร้าย เปรียบเสมือนดาบ 2 คม เพราะหากว่ามนุษย์ไม่ได้ใช้โอกาสและความได้เปรียบซึ่งนับว่าเป็นโชคของตนเองไปในทางสร้างสรรค์เสียแล้ว กลับใช้โอกาสแห่งการเกิดเป็นมนุษย์ไปทำบาปกรรมหรืออกุศลกรรมแทนที่ ก็อาจต้องตกต่ำไปสู่อบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉานได้ หรือหากจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็กลับเกิดเป็น “มนุษย์วิบัติ” มีร่างกายพิกลพิการ มีสติปัญญาพิกลพิการไปเสียก็มี อย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะกลับได้อัตภาพความเป็นมนุษย์อีกครั้ง แต่ก็ด้วยผลแห่งบาปอกุศลที่ตนเคยได้ทำไว้ จึงส่งผลให้กลายเป็นมนุษย์วิบัติ ต้องเสื่อมจากคุณงามความดีที่จะพึงได้พึงถึงไปอย่างน่าเสียดาย…