![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2022/03/วัตพุประสงค์-การจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพ-1024x608.png)
การบำเพ็ญกุศลเพื่ออุทิศให้ผู้วายชนม์ เป็นแบบแผนที่พุทธศาสนิกชนได้ถือปฏิบัติกันมายาวนาน โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดงานบำเพ็ญกุศลศพ ดังนี้
- เพื่อเป็นการรวมญาติ
- ประกาศเกียรติคุณ (ของผู้วายชนม์)
- ค้ำจุนพระพุทธศาสนา
- สร้างบารมีให้กับตน
- อุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์
1. เพื่อเป็นการรวมญาติ
การบำเพ็ญกุศลศพนั้น เป็นกุสโลบายอย่างสำคัญในการรวมญาติพี่น้องของผู้วายชนม์ให้มารวมตัวกัน แสดงพลังของความสมัครสมานสามัคคีของญาติพี่น้อง เพราะการที่มีใครสักคนในหมู่ญาติพี่น้องได้เสียชีวิตลงนั้น ถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่ญาติพี่น้องจะต้องช่วยกันปลดช่วยกันปลง เพราะงานศพนั้นไม่เหมือนกับงานอื่นๆ ที่มีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าได้ งานศพนั้นไม่ได้มีการเตรียมตัวหรือเตรียมใจใดๆ ได้ทัน เป็นเหตุปัจจุบันทันด่วน ญาติพี่น้องไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้เลย ฉะนั้น งานศพจึงถือเป็นงานที่หนัก และต้องใช้กำลังทรัพย์ กำลังแรงกาย แรงใจ และกำลังสติปัญญา ร่วมด้วยช่วยกันเป็นอย่างมาก อีกทั้ง ยังมีข้อจำกัดด้วยเวลาเพิ่มเข้ามาอีก
หากจะพิจารณาในทางบวก ก็จะเห็นได้ว่า แม้งานศพจะเป็นงานแห่งความสูญเสีย เป็นงานแห่งความโศกเศร้าเสียใจก็ตาม แต่ถ้าลองพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่งก็จะเห็นได้ว่า อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นงานที่หมู่ญาติพี่น้องทั้งที่อยู่ใกล้และไกล ต่างคนต่างก็ออกเดินทางมาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อช่วยกันจัด ช่วยกัน ช่วยกันคิดทำให้งานพิธีบำเพ็ญกุศลศพนั้นลุล่วงไปได้ด้วยดี และเปิดโอกาสให้หมู่ญาติพี่น้องที่อยู่ต่างที่ต่างถิ่นหรือไม่ค่อยได้พบได้เจอกัน ก็มีโอกาสได้มาเจอกัน ได้ร่วมกิจกรรมระหว่างกัน นับว่าเป็นการรวมญาติ รวมความสัมพันธ์ระหว่างมวลหมู่ญาติพี่น้องให้กระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นด้วย
2. ประกาศเกียรติคุณ (ของผู้วายชนม์)
งานพิธีบำเพ็ญกุศลศพนั้น ถือเป็นโอกาสที่จะได้ประกาศเกียรติคุณของผู้วายชนม์หรือผู้เสียชีวิตให้ปรากฏแก่สาธารณชน เพราะในระหว่างที่ผู้วายชนม์มีชีวิตอยู่นั้น ก็ย่อมสร้างคุณประโยชน์ไว้ให้ทั้งกับตัวผู้วายชนม์เอง ลูกหลาน ญาติพี่น้อง หมู่มิตร ชุมชนและสังคมไม่มากก็น้อย
ดังนั้น การเสียชีวิตของผู้วายชนม์ ก็ย่อมนำมาซึ่งการหวนระลึกนึกถึงคุณงามความดี และอุปการคุณที่ผู้วายชนม์ได้กระทำไว้ เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจจะกล่าวในเชิงโต้แย้งว่า ผู้วายชนม์บางคนที่เสียชีวิตไป เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เห็นจะก่อร่างสร้างกุศลหรือคุณงามความดีอะไรไว้เลย เห็นก็แต่เกกมะเหรกเกเร ระราน สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้อื่น หรืออย่างน้อยที่สุด ถึงแม้จะไม่สร้างความเดือนร้อนให้กับผู้อื่น ก็ไม่เห็นจะได้สร้างประโยชน์หรือคุณงามความดีอะไรพอเป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วจะเอาคุณงามความดีที่ไหน จะเอาเกีรติคุณที่ไหนมาประกาศให้สาธารณชนได้รับรู้รับทราบ ในเวลาที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเล่า
การคิดหรือการให้ทัศนะในมุมมองเช่นนี้ ก็ถือว่ามีส่วนถูกอยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกทั้งหมดโดยส่วนเดียว เพราะหากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า คนเราทุกคนที่เกิดมาในโลกใบนี้ ก็ไม่มีใครหรอก ที่สมบูรณ์พร้อม 100 % หากแต่มีดีและไม่ดีปะปนผสมผสานกันไป ดังนั้น ในวาระโอกาสสุดท้ายของชีวิตของผู้วายชนม์ ทดลองคิดดูเล่นๆ ว่า ระหว่างการเลือกเฟ้นนำเอาสิ่งที่เป็นความชั่ว หรือสิ่งที่ไม่ดีของผู้วายชนม์มานำเสนอแก่สาธารณชนได้รับทราบ ในโอกาสวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของผู้วายชน และการเลือกเฟ้นนำเอาแต่สิ่งที่ดี หรือสิ่งที่เป็นคุณงามความดีของผู้วายชนม์มานำเสนอแก่สาธารณชนให้ได้รับรู้รับทราบ อย่างไหนจะเป็นการดีกว่ากัน ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า คำตอบคงจะอยู่ในใจของทุกท่านแล้วอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในวาระโอกาสสุดท้ายแห่งชีวิตของผู้วายชนม์ จึงถือเป็นโอกาสอันเหมาะอันควร ที่เราจะได้รับรู้รับทราบเฉพาะในแง่มุมที่งดงาม ที่เป็นกุศล ที่เป็นอุปการะคุณ ที่เป็นคุณประโยชน์ของผู้วายชนม์ท่านนั้นๆ ว่าได้ฝากคุณงามความดีอะไรบ้างให้เราได้จดจำระลึกถึง ซึ่งก็ไปตรงกับคำกลอนของท่านพุทธทาสภิกขุข้อบทสำคัญบทหนึ่งว่า
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา
จงเลือเอาสิ่งดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์แก่โลกบ้างยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
บทกลอนคำประพันธ์ของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุข้างต้นนั้น เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีของบทความตอนว่าด้วยการประกาศเกียรติคุณของผู้วายชนม์
3. ค้ำจุนพระพุทธศาสนา
การจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพนั้น นอกจากจะเป็นการรวมญาติ เป็นการประกาศเกียรติคุณของผู้วายชนดังที่กล่าวไปแล้วนั้น ก็ยังถือว่าได้เป็นกุสโลบายในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาด้วย เพราะงานศพของผู้วายชนม์โดยเฉพาะท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนนับถือศาสนาพุทธแล้ว แน่นอนที่สุดว่า จะต้องมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องด้วยพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือหมอธรรมพื้นบ้านแต่ละท้องถิ่น และมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม คติความเชื่อตามหลักการและพิธีการทางพระพุทธศาสนาด้วย
ดังนั้น การจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพนั้น จึงมีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระอภิธรรมศพ มาติกาบังสุกุล นิมนต์พระสงฆ์มาฉันเช้า-ฉันเพล ได้มีโอกาสได้ถวายจตุปัจจัยเครื่องไทยธรรมอันสมควรแก่สมณบริโภคแก่พระสงฆ์ ถวายปัจจัยบำรุงค่าศาลาสวดศพ ค่าเมรุ บำรุงค่าน้ำค่าไฟ บางครั้งก็สร้าง จัดหา จัดทำ จัดซื้อสิ่งอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไม้สอยอันควรแก่วัด ควรแก่สมณบริโภค หรือเป็นประโยชน์สาธารณะไว้ในวัด เพื่อเป็นประโยชน์แก่วัดแก่สาธารณชนได้ใช้สอยในโอกาสต่างๆ สืบไป นี้นับว่าเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยประการหนึ่ง
4. สร้างบารมีให้กับตน
การจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพนั้น นับว่า เป็นการสร้างคุณงามความดี เป็นโอกาสในการสร้างบารมีให้กันตน ซึ่งคำว่า “ตน” ในที่นี้หมายถึง ตัวของเราทุกคนที่มีส่วนในการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพให้ผู้วายชนม์นั่นเอง โดยเฉพาะเจ้าภาพญาติพี่น้องของผู้วายชนม์
เพราะการได้ร่วมกันคิด ร่วมกันจัด ร่วมกันทำ และร่วมกันสร้างกุศลอุทิศไปให้แก่ผู้วายชนม์นั้น นอกจากจะเป็นการมุ่งที่จะอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ได้มีบุญกุศลเป็นเสบียงบุญสำหรับการเดินทางไปสู่สัมปรายภพเบื้องหน้าแล้ว ในทางกลับกัน บุญกุศลอย่างสำคัญก็ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่ญาติพี่น้องลูกหลานผู้ขวนขวายกระทำอุทิศไปให้ผู้วายชนม์เป็นลำดับแรกก่อนกว่าใคร เพราะไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่า บุญกุศลที่ญาติพี่น้องลูกหลานได้กระทำนี้ เป็นบุญกุศลในส่วนของญาติพี่น้องลูกหลานเองด้วย
ดังนั้น จึงบุญกุศลที่ลูกหลานญาติพี่น้องกระทำอุทิศไปให้แก่ผู้วายชนม์นั้น ไม่ใช่เพียงแค่จะบังเกิดเป็นบุญกุศลสำหรับผู้วายชนม์ไปแล้วเท่านั้น หากแต่ตัวลูกหลานญาติพี่น้องของผู้วายชนม์ก็นับว่าเป็นเจ้าของของบุญกุศลนั้นๆ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยทีเดียว และบุญกุศลที่กระทำไปแล้วนั้น ก็มีความเชื่อว่าจะสามารถส่งต่อไปให้แก่ผู้วายชนม์ได้ด้วย
การจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพแก่ผู้วายชนม์ จึงนับเป็นโอกาสอันสำคัญในการสร้างกุศลบุญบารมีให้แก่หมู่ลูกหลานญาติพี่น้องของผู้วายชนม์อย่างสำคัญ ซึ่งหาโอกาสที่จะได้สร้างกุศลอันโอฬารเช่นนี้ ในช่วงชีวิตที่ต้องสาละวนกับการดิ้นรนทำมาหากินในชีวิตประจำวันโดยปกตินั้น ยากยิ่งเสียเหลือเกิน…
5. อุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์
การอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ นับเป็นวัตถุประสงค์หลักอย่างสำคัญในการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพให้ผู้วายชนม์ เพราะตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาแล้ว ก็มีความเชื่อกันว่า สิ่งที่บุคคลผู้เป็นลูกหลานญาติพี่น้องจะสามารถมอบให้แก่ผู้วายชนม์เป็นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตก็คือ การช่วยกันจัดการศพและสรีระสังขารของผู้วายชนม์อย่างสมเกียรติ ด้วยการเผาหรือการฝัง ตามคติความเชื่อ ระเบียบปฏิบัติ ค่านิยม และจารีตประเพณีของแต่ละท้องที่แต่ละท้องถิ่นจะนิยมถือปฏิบัติอย่างไร และเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความกตัญญูกตเวที หรือความเมตตาที่มีต่อผู้วายชนม์ตามฐานานุรูปให้ปรากฏแก่สาธารณะ
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีความเชื่อว่า บุญกุศลที่ได้บำเพ็ญอุทิศไปให้แก่ผู้วายชนม์นี้ จะกลายเป็นเสบียงบุญมอบให้ผู้วายชนม์ได้ใช้เป็นเสบียงในการเดินทางไปสู่ปรโลก หรือนำไปใช้เป็นเสบียงในปรโลกเบื้องหน้าได้
ถึงแม้ว่าในระหว่างที่ผู้วายชนม์ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ จะเป็นคนที่ได้สร้างคุณงามความดีไว้มากมายสักเพียงใดแล้วก็ตาม ซึ่งถือว่าเป็นบุญกุศลในส่วนที่ผู้วายชนม์ได้เคยกระทำไว้ครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ญาติพี่น้องก็ยังตามเพิ่มบุญกุศลให้เพิ่มเติมไปอีก เพื่อให้เกิดเป็นบุญกุศลแก่ผู้วายชนม์ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้วายชนม์ที่เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยได้ก่อร่างสร้างบุญกุศลอันใดไว้เลย หรือสร้างแต่เพียงนิดๆ หน่อยๆ ที่เราหมู่ลูกหลานญาติพี่น้องจะไม่ยอมขวนขวายสร้างบุญกุศลอุทิศไปให้บ้างเล่า…
ดังนั้น การบำเพ็ญกุศลศพเพื่ออุิศแก่ผู้วายชนม์นั้น ถือว่ามีคติความเชื่อที่มีประวัติที่มาที่ไปรองรับอย่างน่าสนใจ และเมื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์อานิสงส์ที่จะพึงได้รับ นามที่ได้กล่าวไปแล้ว 5 ข้อในข้างต้นนั้น ก็เป็นการสมควรเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้สืบทอดสืบต่อและสืบสานการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพตามขนบธรรมเนียมประเพณี และรูปแบบที่ได้กระทำสืบเนื่องกันมาตั้งแต่บรรพกาลจนกระทั่งถึงปัจจุบัน หากแต่ต้องทราบวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่จะได้รับจากการกระทำนั้นๆ ด้วย จึงจะเป็นการก่อให้เกิดองค์ความรู้และสร้างภูมิปัญญาเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดแก่ผู้กระทำ หาใช่ทำไปด้วยความงมงาย หรือทำตามๆ กันมาอย่างไร้เหตุผลประกอบด้วยไม่…
แพรวพราวดอทคอม/
praewprouds.com
“แพรวด้วยความรู้
พราวด้วยประสบการณ์”