pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

แค่เม็ดทราย

เชื่อเหลือเกินว่า ชีวิตของคนเราทุกคนที่เกิดมานั้น ต้องเคยประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “ปัญหา”, “อุปสรรค”, “ความยุ่งยาก” หรือสิ่งที่เป็นเครื่องกีดขวาง/ขัดขางทางเดินของชีวิต ทำให้ชีวิตของเราไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นปรกติสุข หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เราต้องทุกข์ใจ หนักใจ เหนื่อยใจ เสียใจ เศร้าใจ ช้ำใจ ท้อใจ หรือหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิตไปเลยก็มี

ปัญหา

ปัญหา อุปสรรค หรือความยุ่งยาก ดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้นนั้น ย่อมสร้างความเสียหายให้กับชีวิตของเราได้ ทั้งในระดับเบา ระดับปานกลาง ระดับหนัก ระดับหนักมาก ระดับร้ายแรง หรือระดับวิกฤติรุนแรงที่สุดเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าปัญหานั้นสามารถสร้างผลกระทบให้กับคนเราแต่ละคนในระดับใดบ้าง หรือมีขอบเขตกว้างขวางหรือแคบสักเพียงใด นั่นเอง

ที่สำคัญที่สุด ก็ไม่ใช่ว่าปัญหาในแบบเดียวกัน จะมีอานุภาพทำลายล้าง หรือสร้างความเสียหายทางกายและทางใจให้กับคนทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกันหรือเหมือนๆ กัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาแม้จะมีลักษณะและรูปแบบเดียวกันแบบเป๊ะๆ เลยก็ตาม ก็ย่อมสร้างความเสียหายและสร้างความรู้สึกด้านลบให้กับคนเราแต่ละคนแตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะอะไร ? นั่นก็เป็นเพราะว่าสภาพจิตใจของคนเรา การฝึกพลังจิตของคนเรา และประสบการณ์ในการรับมือกับปัญหาของคนเรานั้นแตกต่างกันนั่นเอง

ประสบการณ์รับมือกับปัญหา

จะเห็นได้ว่า ปัญหาเพียงเล็กน้อยสำหรับคนบางคน อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมหาศาลให้กับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น

เด็กชาย ก. สอบได้ในลำดับท้ายๆ ของห้องมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยรู้สึกแย่ ไม่เฝ้าโทษตัวเอง หรือคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองแต่อย่างใด อีกทั้ง เด็กชาย ก. ก็ไม่เคยคิดโทษคนอื่นหรือสิ่งแวดล้อมอื่นใดเลย หากแต่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ได้ให้ความสำคัญกับลำดับที่ของการสอบเท่าไรนัก อีกอย่างหนึ่ง การสอบได้ในลำดับท้ายๆ ห้องของเด็กชาย ก. ก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารสำหรับเพื่อนๆ ครูผู้สอน หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองของเด็กชาย ก. แต่อย่างใด

แตกต่างจากเด็กหญิง ข. ซึ่งมีคะแนนสอบได้เป็นลำดับที่ 1 ของห้องมาโดยตลอด สร้างความชื่นชอบ ชื่นชม ปลื้มปริ่มยินดีให้กับเพื่อนๆ ครูผู้สอน และผู้ปกครองเป็นอย่างมาก แต่ปรากฏว่า ในเทอมเดียวกันนี้ เด็กหญิง ข. กลับมีคะแนนสอบได้ในลำดับที่ 3 ของห้อง ซึ่งเด็กหญิง ข. ไม่สามารถรับมือ หรือทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะเด็กหญิง ข. เคยเป็นที่ 1 มาโดยตลอด เมื่อต้องตกเป็นรองคนอื่นอย่างเช่นในเหตุการณ์นี้ ทำให้เด็กหญิง ข. รู้สึกอับอาย รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าอีกต่อไป และเกรงว่าคนอื่นจะตั้งคำถามต่างๆ นานากับเด็กหญิง ข. และเด็กหญิง ข. เอง ก็ไม่อยากตอบคำถามใครๆ กลายเก็นว่า เด็กหญิง ข. เฝ้าแต่หลบหน้าผู้คน และเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว จนนำไปสู่เหตุการณ์โทษตัวเอง โทษคนอื่น โทษสังคม โทษสิ่งแวดล้อมไปต่างๆ นานา จนในที่สุดแล้ว ก็อาจเป็นเหตุชักนำไปสู่การตัดสินใจทำร้ายตัวเองหรือการตัดสินใจจบชีวิตตัวเองได้ในที่สุด ซึ่งก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ ปรากฏในภาพข่าวให้สังคมเราได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง

จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กชาย ก. และเด็กหญิง ข. ในข้างต้นนั้น เป็นปัญหาในแบบเดียวกันเลย แต่เด็กทั้ง 2 คน ก็มองปัญหานี้ไม่เหมือนกัน ผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็มอบปัญหาของเด็กทั้ง 2 คนนี้ ไม่เหมือนกัน โดยมองว่า เด็กชาย ก. สอบได้อันดับท้ายห้อง หรือจะสอบตกก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่แปลกอะไร แต่ถ้าหากว่าเด็กหญิง ข. ซึ่งเคยสอบได้ในลำดับที่ 1 ของห้องมาโดยตลอด เกิดมาสอบได้ในลำดับรองลงมา ก็สร้างความรู้สึกงุนงงสงสัย มองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด มองว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงสำหรับเด็กหญิง ข. ซึ่งแม้แต่ตัวเด็กหญิง ข. เอง ก็รู้สึกแย่กับตัวเองเช่นเดียวกัน

ผู้อยู่รอด

ดังนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าปัญหาที่เรากำลังประสบพบเจออยู่นั้น จะเป็นปัญหาที่เล็ก หรือเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่สักเพียงใดก็ตามในความรู้สึกของเรา สำคัญที่สุด คือเราต้องพยายามแก้ไขและฟันฝ่าให้สามารถผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นไปให้ได้ต่างหาก

ความรู้สึกของเรา การตีค่าให้ราคากับตัวเราเอง ทิฏฐิมานะ และทัศนคติ มุมมองการมองปัญหานั้นๆ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมีผลโดยตรงต่อการให้ค่าของปัญหานั้นๆ ว่า เป็นปัญหาในระดับที่รุนแรง ยุ่งยาก และซับซ้อนแค่ไหน ซึ่งแต่ละคนก็จะรับรู้ได้ถึงปัญหาต่างๆ ได้ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

คนที่สามารถอยู่รอดได้

ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด

หากแต่หมายถึง

คนที่สามารถปรับตัว

ให้เข้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีที่สุดต่างหาก

ดังนั้น เมื่อเจอกับปัญหาใดๆ ก็ตาม เราต้องพยายามมองปัญหาให้ออก และเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญหานั้นๆ ให้ได้ โดยให้ระลึกอยู่ในใจเสมอว่า ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาใดๆ ก็ตาม ต้องพยายามหาทางออกจากปัญหานั้นให้ได้ ด้วยวิธีการหรือด้วยปัญญาที่แยบคาย หมายถึง การแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ชาญชลาด เฉียบคม ชัดเจน แจ่มแจ้ง ลึกซึ้ง ครอบคลุม รอบด้าน เพราะว่า :

ปัญหามีไว้สำหรับเรียนรู้ และแก้ไข

ปัญหาไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราแบกรับ เป็นทุกข์

และยอมปล่อยให้ปัญหากลับมาทำร้ายตัวเรา

ได้ตามอำเภอใจ

และให้ระลึกอยู่ในใจเสมอว่า ไม่ว่าปัญหาที่เราประสบพบเจอนั้น จะยุ่งยาก ซับซ้อนซ่อนเงื่อน และยิ่งใหญ่สักเพียงใดก็ตาม ก็ให้ท่องให้ขึ้นใจอยู่เสมอว่า :

ทุกปัญหามีทางออกเสมอ

แน่นอนที่สุดว่า ทุกๆ ปัญหาล้วนแล้วแต่มีทางออกทั้งนั้น ไม่ว่าปัญหาจะยาก จะยุ่งยากซับซ้อน จะเป็นปัญหาที่ง่าย เป็นปัญหาที่หนัก หรือเป็นปัญหาที่เบาอย่างไรก็ตาม หากเราตั้งใจที่จะแก้ปัญหานั้นแล้ว เชื่อเหลือเกินว่า ย่อมจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้จบลงได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เพียงแต่บางครั้ง ต้องอาศัยเวลา อาศัยผู้ช่วย ต้องอาศัยสติปัญญา ต้องอาศัยความยับยั่งชั่งใจ ต้องอาศัยการฝึกฝนความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ และต้องอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะคนที่มีประสบการณ์การแก้ไขปัญหามาก่อน เคยรับมือกับปัญหามาก่อนและสามารถผ่านมาได้ด้วยดี จะมองปัญหาออก และมองเห็นวิธีการแก้ปัญหานั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด และไม่ตระหนกตกใจ หรือประหวั่นพรั่นพรึงกับปัญหาใดๆ มากเกินไป

ปัญหาที่มาพร้อมๆ กัน

บางครั้ง คนเราก็มักจะเจอปัญหาต่างๆ หลายๆ อย่างมะรุมมะตุ้ม ประเดประดัง ทุ่มถาโถม กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาพร้อมพร้อมๆ กัน เข้าทำนองที่ว่า “เคราะห์หามยามร้าย”, “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” หรือ “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเจ้ามาแทรก”

จะสังเกตเห็นได้บ่อยๆ ว่า เวลาที่เราประสบปัญหาหนึ่งปัญหาใดก็ตาม มักจะเป็นสาเหตุให้ปัญหาอื่นๆ ติดตามพ่วงท้ายมาด้วยหลายๆ อย่างเสมอๆ เพราะบางทีปัญหาบางอย่างก็อาจเป็นสาเหตุของปัญหาอื่นๆ ด้วย

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาแต่ละอย่าง จำเป็นเหลือเกินที่ต้องทำความเข้าใจปัญหานั้นอย่างแท้จริงเสียก่อน ค่อยๆ คิดพิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหานั้น และค่อยๆ แก้ไขปัญหานั้นไปทีละเปลาะๆ เหมือนคนพยายามแก้เชือกที่พันกันวุ่นเป็นปุ่มเป็นปมเป็นกลุ่มเป็นก้อน หาต้นสายปลายเหตุ หาเงื่อนหางำ หาหัวหาท้าย หาต้นหาปลายไม่เจอ ฉะนั้น แต่ถ้าคนๆ นั้น มีความมุ่งมั่นตั้งใจและไม่ลดละความพยายามในการพยายามแก้เงื่อนปมของเชือกที่พันกันวุ่นอยู่นั้นอย่างไม่ลดละแล้ว เชื่อเหลือเกินว่า ในที่สุดแล้ว ก็จะสามารถแก้เชือกที่พันกันยุ่งอยู่อย่างนั้นได้อย่างแน่นอน

วิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

บางคน ไม่มีความอดทนที่เพียงพอ และไม่มีความพยายามมากพอ ประกอบกับไม่ได้ใช้สติปัญญาในการแก้เชือกที่พันกันนั้นอย่างถูกต้องและเพียงพอ จึงหาวิธีการแก้เชือกด้วยวิธีลัด คือเลือกใช้วิธีการตัดเชือกที่พันกันอยู่นั้นบางจุด หรือหลายๆ จุด วิธีการแก้เชือกอย่างนั้น ถึงแม้จะสามารถแก้ไขเงื่อนปมของเชือกที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่อย่างนั้นได้ก็จริงอยู่ แต่ผลที่ได้ก็คือ ความยาวของเชือกจะไม่เท่าเดิม จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อีกทั้งคุณภาพรูปลักษณ์ ความแข็งแรงของเชือกก็ลดลง แม้จะพยายามผูกเชือกเข้าด้วยกันใหม่ ก็ปรากฏเห็นเป็นปุ่มปม ไม่ใช่เชือกที่ยาวเป็นเส้นเดียวแบบเดิมอีกต่อไป

ในชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเจอเข้ากับปัญหาแล้ว ไม่มีความอดทน ไม่มีความพยายาม ไม่ได้ใช้สติปัญญาความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างเพียงพอ ซ้ำร้าย ยังเลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาชีวิตในทางที่ผิดพลาด เช่น หนีจากปัญหานั้นไปให้ไกลแสนไกล ปฏิเสธความรับผิดชอบ ปฏิเสธความผิด โทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น โยนความผิดให้คนอื่น หรือตัดช่องน้อยแต่พอตัว คิดสั้น ฆ่าตัวตายทำลายชีวิตหนีปัญหา หนีความผิดเสีย อย่างนี้เรียกว่าแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด เพราะนอกจากจะแก้ไขปัญหาไม่ได้แล้ว ก็ยังสร้างปัญหาใหม่อย่างอื่นตามมาอีกมากมาย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือการเลือกตัดสินใจทำบาปด้วยการฆ่าตัวตายหนีปัญหาไปเสียให้หมดเรื่องหมดราว การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างนี้ก็เช่นเดียวกัน นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและตรงจุดแล้ว ปัญหาก็ยังคงอยู่เช่นเดิมไม่ได้รับการแก้ไข ซ้ำร้าย ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่เพื่อมีโอกาสในการทำประโยชน์ สร้างผลงาน หรือสร้างบุญบารมีให้กับตนเองต่อไปได้อีก นับว่าเป็นสิ่งที่โชคร้ายและน่าสมเพชเวทนาที่สุดของชีวิต ที่ได้มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์กับคนอื่นเขาในชาติหนึ่ง

ปัญหาก็แค่เม็ดทราย

ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงหมายถึงการมองปัญหาให้ออก เข้าใจปัญหาอย่างชัดแจ้ง เข้าใจสาเหตุของปัญหา และรู้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไร แล้วดำเนินกรรมวิธีในการแก้ไขปัญหาไปตามวิธีการที่ถูกต้อง แม่นยำ ตรงจุด และได้ผล ด้วยสติปัญญาความสามารถที่มีอยู่ โดยอาศัยความอดทน ความเพียรพยายาม และความฉลาดทางสติปัญญาเป็นหลัก เพราะ :

ไม่ว่าปัญหาจะมากมายสักเพียงใด

จงมองปัญหาให้เป็นเช่นกับเม็ดทราย

เพราะถึงแม้จะมากมายสักเพียงใด

เม็ดทรายก็เล็กแค่นิดเดียว

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน จงฝ่าฟันต่อสู้กับปัญหาทุกๆ อย่างให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีทุกท่าน…. สวัสดีครับ

แพรวพราวดอทคอม/

praewprouds.com

“แพรวด้วยความรู้

พราวด้วยประสบการณ์”