ของดี 3 อย่าง
เมื่อกล่าวถึงของดี ของที่มีคุณค่า ของที่ควรแก่การสักการะบูชา หลายๆ ท่านก็คงนึกถึงวัตถุมงคลหรือพระเครื่องเลี่ยมทอง ผุดขึ้นมาในสมองเป็นแว็บแรกอย่างแน่นอน
สิ่งที่เป็นของดีมีคุณค่าควรแก่การบูชา ที่จะขออนุญาตนำมากล่าวอ้างให้ทุกท่านได้ทราบต่อไปนี้ มี 3 สิ่ง คือ
1. พระพุทธเจ้า
ผู้รู้ ผู้ดื่น ผู้เบิกบาน ผู้ทรงค้นพบหลักธรรมที่ทำให้สรรพสัตว์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ อันเป็นความทุกข์ที่แสนยาวนาน อันได้แก่ อริยสัจ 4 , ปัจจยาการ 11 และปฏิจจสมุปบาท 12
ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเทียบเทียมทัน จากนั้นก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงต่อเวไนยสัตว์ ใช้เวลาตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ในการจาริกสั่งสอนเวไนยนิกรให้ได้ประพฤติดี ประพฤติชอบ ทางกาย วาจาและใจ
ทรงปฏิบัติพระองค์ในฐานะครูผู้สอน เป็นพระบรมศาสดาผู้ประเสริฐเลิศกว่าครูทั้งหลาย เป็นขวัญใจของปวงเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
2. พระธรรม
เป็นสัจธรรมความจริงแท้ที่มีอยู่คู่กับโลก ซึ่งเมื่อใครค้นพบ และพิจารณาเห็นได้ถูกต้องตามความเป็นจริงในอย่างที่เป็นแล้ว ก็เท่ากับว่าได้เคล็ดวิชาเพื่อนำมากำจัดความทุกข์ สละความโศก สามารถถอนตัวให้พ้นจากโลกและสังสารวัฏ อันเปรียบเสมือนคุกใหญ่คอยกักขังสรรพสัตว์ให้ต้องทุกข์ระทม
สัจธรรมนี้ได้ถูกค้นพบโดยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถจำแนกแจกแจงออกเป็น 2 ประการ คือ 1) พระธรรม อันเป็นเฉพาะในส่วนของคำสอนให้ประพฤติปฏิบัติตาม หรือเรื่องราวอันเป็นตัวอย่างให้พิจาณาด้วยปัญญาของตนเอง แล้วตัดสินใจเลือกที่จะทำตามหรืองดเว้น และ 2) พระวินัย อันเป็นคำสั่งโดยส่วนมาก และเป็นข้ออนุญาตโดยบางส่วน อันเป็นหลักปฏิบัติสำหรับให้พระสงฆ์ตลอดจนฆราวาสได้ปฏิบัติ เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางความประพฤติ แบ่งเป็นส่วนของอคาริยวินัย สำหรับบรรพชิตหรือนักบวชอย่างหนึ่ง และอนาคาริยวินัย สำหรับคฤหัสถ์ญาติโยมนำไปประพฤติปฏิบัติด้วยอีกประการหนึ่ง
พระวินัยนี้มีที่แปลกจากพระธรรมตรงที่มีบทลงโทษบัญญัติไว้ด้วย ซึ่งบทลงโทษในทางพระพุทธศาสนานั้น ก็เป็นแต่เพียงลงโทษตนเอง วิญญูชนตำหนิติเตียน หมู่คณะติเตียน หรือเกิดความละอายแก่ใจไม่สามารถจะดำรงตนอยู่ในหมู่คณะได้ จำต้องจำนนยอมหลีกออกจากหมู่คณะด้วยจิตอันเป็นมโนธรรมสำนึกของตน
ผู้ที่ถูกลงโทษทางพระวินัยในทางพระพุทธศาสนา ก็มิได้หมายความว่าจะต้องกลายเป็นอาชญากรทางสังคมที่น่ารังเกียจขยาดกลัว หากแต่ยังเป็นกัลยาณปุถุชน อาจพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมสูงยิ่งๆ ขึ้นไป กลายเป็นกำลังของพระศาสนาได้เช่นเดียวกัน
3. พระสงฆ์
ได้แก่ หมู่แห่งพระสาวกของพระพุทธเจ้า คือผู้ที่ฟังธรรมคำสอนจากพระพุทธเจ้าแล้ว สามารถมีปัญญาพิจารณาเห็นตามกระแสแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็น “พระสาวกของพระพุทธเจ้า”
เพราะคำว่า “สาวก” แปลว่า “ผู้ฟัง” ส่วนคำว่า “สงฆ์” แปลว่า “หมู่” แปลว่า “คณะ” หมายความว่า หากจะเรียกสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ถือบวชเป็นภิกษุหรือครองเพศบรรพชิต ยังมิได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ยังเป็นกัลยาณปุถุชนคนมีกิเลสอยู่ จำนวนตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป จึงจะเรียกว่า “สงฆ์” ได้
แต่คำว่า “พระสงฆ์” นี้ ก็สามารถใช้เรียกพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป คือ ผู้บรรลุธรรมชั้นสูงเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนกระทั่งถึงพระอรหันต์แม้เพียงรูปเดียวว่า “พระสงฆ์” ได้
คำว่า “สงฆ์”, “พระสงฆ์” หรือ “พระอริยสงฆ์นี้” ไม่ได้จำกัดเรียกเฉพาะผู้ที่ครองเพศเป็นพระภิกษุหรือบรรพชิตเท่านั้น หากแต่สามารถใช้เรียกได้แม้กระทั่งกับฆราวาสหรือคฤหัสถ์ผู้บรรลุธรรมขั้นสูง กลายเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน ก็เรียกว่า “พระสงฆ์” ในความหมายนี้ได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ 3 สิ่งนี้ ถูกเรียกว่าเป็นของดี เป็นของมงคล เป็นของมีค่ามาก เป็นของมีราคามาก เป็นสิ่งที่น่าเคารพบูชา เป็นที่พึ่งอันสูงสุดในชีวิต ก็เป็นเพราะพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์นั้น เปรียบได้กับอัญมณีหรือรัตนชาติ ซึ่งเป็นของมีค่า มีราคา ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นของที่หาได้ยากแสนยาก เป็นที่ต้องการอยากได้จากผู้คนมากมาย แต่ก็หาได้เพียงน้อยนิดในโลก ฉะนั้น…