pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

ทางตัน…???

เชื่อเหลือเกินว่า ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกใบนี้ ทุกๆ คนล้วนแล้วแต่เคยรู้สึกดีใจ ชื่นใจ ชอบใจ ประทับใจ ภูมิใจ มีกำลังใจ มีความหวัง หรือในทางตรงกันข้าม อาจเคยรู้สึกเสียใจ เศร้าใจ หดหู่ใจ ท้อแท้ หมดหวัง พบทางตัน หรือหมดกำลังใจมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น

และก็อีกเช่นเดียวกันครับ สิ่งที่เราได้ประสบพบเจอนั้น ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์พันลึกมากมายอะไรเลย เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก

ทำไมพระพุทธองค์ถึงได้ตรัสว่า “เป็นเรื่องธรรมดาของโลก” นั่นก็เป็นเพราะ ในชีวิตของทุกคนที่เกิดมาแล้ว ล้วนแล้วแต่ต้องประสบพบเจออย่างแน่นอน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นยาจกยากจนคนเข็ญใจ หรือจะเป็นผู้รากมากดี พระราชามหากษัตริย์ คฤหบดี เศรษฐี มหาเศรษฐีก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องประสบกับอารมณ์และสถานการณ์แห่งชีวิตในลักษณะดังกล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งสิ้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า ชีวิตของสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการเสวยความทุกข์ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสต่อไปอีกว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

หลายท่านอาจตั้งข้อสงสัย หรือพยายามแย้งด้วยเหตุผลว่า การที่คนคนหนึ่งมีแนวคิดแบบนี้ น่าจะไม่ใช่การมองโลกที่ถูกต้อง แต่น่าจะเป็นคนที่อมทุกข์ หรือมองโลกและชีวิตในแง่ร้ายเสียมากกว่า

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเรามาพิจารณาดูชีวิตให้ถูกต้องถ่องแท้แล้ว ก็จะพบว่า พระดำรัสคำสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นความจริง เพราะชีวิตของคนเราและสรรพสัตว์ทั้งมวลที่ยังเวียนว่ายตายเกิดด้วยกิเลสอุปาทานนั้น แน่นอนที่สุด ช่วงชีวิตที่ผ่านมาและกำลังดำเนินไปและกำลังจะเป็นไปทั้งหมดทุกช่วงของชีวิต หากหาค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบกันให้เห็นประจักษ์ชัดแจ้งไปแล้ว ต้องยอมรับความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของคนเรามักจะมากกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขเสมอ

สิ่งที่เป็นเหตุผลของคำพูดนี้ก็คือ คำพูดที่เรามักได้ยินกันติดหู หรือนำมาพูดกันจนเป็นเรื่องที่คุ้นชินไปแล้ว ว่า”งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” ลองมาคิดดูเล่นๆ นะครับว่า ในสัปดาห์หนึ่ง ในเดือนหนึ่ง ในปีหนึ่ง คนเรามีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กันกี่ครั้ง และวันที่ไม่มีงานเลี้ยงสังสรรค์ เฮฮา สนุกสนาน ชื่นมื่น บันเทิงใจกันล่ะ คือจำนวนวันทั้งหมดที่เหลือนอกจากนี้นั่นเอง

เมื่อเปรียบเทียบกันให้เห็นชัดเจนแบบนี้แล้ว ก็เป็นการยืนยันด้วยเหตุผลอย่างชัดแจ้งแล้ว กับคำพูดที่ว่า “งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา” นั้น หมายถึง ความสุขมีเพียงเล็กน้อย ประเดี๋ยวเดียว แป๊บๆ ผ่านไปไวมาก และแล้วทุกอย่างก็ต้องกลับมาสู่ความจริง มายอมรับความจริง มาสู้กับความจริงของชีวิต ที่ความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ได้มีความเฮฮาปาร์ตี้ สนุกสนาน เพลิดเพลินเหมือนกับงานเลี้ยงที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืนวานแต่อย่างใด

อีกแนวความคิดหนึ่ง ซึ่งมีเหตุผลน่าสนใจมากๆ และสามารถสนับสนุนแนวความคิดนี้ได้ก็คือ “ความจริงแล้ว ความสุข ไม่เคยมีอยู่จริงในโลกนี้ แต่ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นสุข หรือเรียกว่าความสุข

นั่นก็เป็นเพราะว่า ปริมาณความเข้มข้นของความทุกข์ ที่มันได้ลดระดับความเข้มข้นลง จนกระทั่งเจือจางอย่างมากในบางครั้ง บางขณะ บางอารมณ์ บางเหตุการณ์ บางสถานการณ์ บางความรู้สึก จึงทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นความสุข

ยิ่งถ้าความทุกข์ปรับระดับความเข้มข้นลงมามากเท่าไร ความรู้สึกรับรู้ว่าเป็นความสุข ก็ยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าระดับความทุกข์ลดลงเพียงแค่เล็กน้อย เราก็รู้สึกว่ามีความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ หรือแทบไม่รู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์อะไรเลย

ในทางตรงกันข้าม หากปริมาณความเข้มข้นของความทุกข์ปรับระดับความเข้มข้นเพิ่มเติมมากขึ้น ในระดับที่มากกว่าเดิมล่ะ นั้นก็หมายความว่า เราก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องทุกข์ร้อนทรมานมากกว่าเดิม หรือเรียกว่าเป็นความทุกข์แสนสาหัสสากรรจ์กว่าคนทั่วไปนั่นเอง

คำพูดที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น มาพ้องกับคำคำหนึ่งที่ว่า “ความจริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าสภาวะของความเย็นใดๆ ไม่มีอยู่จริงในโลกและจักรวาลนี้ ที่เรารู้สึกเย็นได้ ก็เพราะปริมาณความร้อนที่ลดระดับลงต่างหาก ยิ่งถ้าระดับของความร้อนลดลงได้มากเท่าไร เราก็จะรู้สึกว่ามันเย็นได้เท่านั้น”

ชีวิตของคนเราทุกคน ต่างก็เคยเผชิญกับอารมณ์ความรู้สึกและสภาวการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งความสุข ความทุกข์ ความสมหวัง ความผิดหวัง รอยยิ้ม และคราบน้ำตามาแล้วด้วยกันทั้งนั้น อย่าทำความรู้สึก หรือสร้างจินตภาพของเราให้ต้องรู้สึกว่า ทำไมปัญหาเหล่านี้ ต้องจำเพาะเจาะจงมาเกิดกับเราคนเดียว ทำไมไม่เกิดกับคนอื่น คนอื่นทำไมเขาอยู่ดีมีความสุข แต่ชะตาชีวิตของเราทำไมช่างอับเฉาอมทุกข์แบบนี้ โลกนี้ไม่ยุติธรรม หรือสามารถให้ความเป็นธรรมกับเราได้

ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยเจอกับปัญหา ความท้อแท้ ความผิดหวัง ความเสียใจ อุปสรรครุมเร้า ชีวิตต้องมาเจอกับปัญหาและทางตันด้วยกันทั้งนั้น

คำสำคัญ หรือ Key Word ที่อยากให้ทุกท่านได้พุ่งประเด็นลงไปก็คือ คำว่า “ทางตัน”

คำว่า “ทางตัน” ในความรู้สึกของใครบางคนที่เมื่อเจอกับปัญหาแล้ว ไม่สามารถจะหาทางแก้ปัญหานั้นให้ผ่านพ้นไปจากชีวิตได้ รู้สึกท้อแท้หมดหนทาง รู้สึกหมดหวัง มืดแปดด้าน หันหน้าไปพูดคุย ขอคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ จนรู้สึกว่าไม่อยากที่จะอยู่สู้ต่อไปอีกแล้ว และพยายามที่จะหนีปัญหาด้วยวิธีการที่ผิดๆ

จริงๆ แล้วคำว่า “ทางตัน” ไม่เคยมีอยู่จริง แม้จะมีคนนำป้ายมาปิด เพื่อสื่อให้รู้ว่าทางมันตัน ทางมันปิด ไม่สามารถทะลุผ่านสัญจรไปได้ก็ตาม แต่ก็ให้เชื่อมั่นเถิดว่า มีคนที่ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ทางตัน” นี้ไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็คือคนที่นำป้ายทางตันมาปิด คนที่อยู่บริเวณนั้น พวกเขารู้ดีว่าความจริงแล้วทางมันไม่ได้ตัน เพราะคนก็ยังเดินสัญจรผ่านเข้าออกได้ปกติ ถ้าเข้าโดยตรงไม่ได้ก็สามารถปีนข้าม กระโดดข้าม มุดลอด ขุดอุโมงค์ หรือเอาเครื่องมือมาช่วยเปิดทางให้สามารถผ่านเข้าไปได้อยู่ดี

แต่ที่เราผ่านทางตันไปไม่ได้ นั่นก็เป็นเพระว่า เรายังคงยืนหยัด ยืนยัน ดันทุรัง ดื้อดึงที่จะขับรถผ่านเข้าไปอย่างเดียว เมื่อผ่านเข้าไปไม่ได้ก็บอกว่ามันเป็นทางตัน โดยที่ไม่หาวิธีการผ่านเข้าไปด้วยวิธีการอย่างอื่น เช่นเดินเข้าไป มุดเข้าไป ลอดเข้าไป ปีนข้ามไป ประโดดข้ามไป หรือขุดอุโมงค์ข้ามไป

แม้ถ้าหากว่า พยายามด้วยวิธีการต่างๆ หมดทุกทาง หมดทุกอย่างดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้นแล้ว ก็ยังไม่สามารถผ่านทางตันอันนั้นไปได้ ก็อย่าเพิ่งหมดหวังหรืออย่าเพิ่งท้อแท้ถอดใจไปเสียก่อนครับ

เพราะเมื่อทดลองทำทุกอย่าง ทุกวิธีการแล้ว ก็ยังไม่สามารถผ่านทางตันอันนี้ไปได้จริงๆ ทำไมเราไม่ลองเลี้ยวรถกลับ หรือถอยรถกลับ แล้วเลือกไปเส้นทางอื่นดูบ้างล่ะครับ

อย่าเสียเวลาอยู่กับทางที่มันตีบ ทางที่มันตัน ทางที่ไม่ใช่เส้นทางของเรา ทางที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อเรา เพราะอย่าลืมว่า ในโลกนี้ยังมีเส้นทางอีกเป็นล้านๆ เส้นทาง ที่ก็สามารถนำพาชีวิตเราไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิม หรือไม่แน่ ก็อาจจะกลายเป็นทางลัด ที่ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทางไปสู่จุดหมายของเรา ทำให้สามารถเดินทางไปสู่จุดหมายได้สะดวกและรวดเร็วกว่าเส้นทางเส้นนั้นก็ได้

ทำไมจะต้องไปเสียเวลากับการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดิมๆ วิธีการเดียวตลอดทั้งชีวิต ทั้งๆ ที่มีอีกตั้งมากมายหลายวิธีการที่ยังไม่ได้ลองทำ

เป็นกำลังลังใจให้กับทุกท่านได้ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่ อย่าท้อแท้และหมดหวังในชีวิต เพราะไม่ใช่มีเพียงเราแค่เพียงคนเดียเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรค ยังมีเพื่อนร่วมโลก ร่วมชะตากรรมกับเราอีกมากมายหลายชีวิตที่ก็ต้องอดทนต่อสู้ไม่ต่างกับเรา และที่สำคัญที่สุด อย่าทำให้ปัญหาทุกปัญหาเป็นทางตันสำหรับเรา ให้จำไว้เสมอว่า “ทางตันไม่มีอยู่จริง” สู้ๆ ครับ…

ใส่ความเห็น