pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

ทำไมต้อง “ใส่หน้ากากเข้าหากัน”

สังคมในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ผู้คนใส่หน้ากากเข้าหากันแทบทุกคน จนกลายเป็นเรื่องปกติวิสัยสำหรับคนในยุคเราไปเสียแล้ว แต่การใส่หน้ากากเข้าหากันในปัจจุบันนี้ ก็มีเหตุผลเพียงเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 หรือไม่ก็เพื่อป้องกันการติดหรือการแพร่เชื้อไวรัส Covid-19 เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายเป็นอย่างอื่นแต่ประการใด

โดยปกติแล้ว เมื่อเราได้ยินคำว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” ก็จะมีความรู้สึกขึ้นมาในทันทีว่า หมายถึง “การสร้างภาพ, การเสแสร้งแกล้งแสดงต่อกัน”, “ความไม่จริงใจต่อกัน” หมายถึง การแกล้งทำดี แกล้งพูดดีกับคนที่เราไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา คนที่เราไม่ได้ให้คุณค่า ไม่ได้ให้ความสำคัญถึงขนาดนั้น แต่ก็เสแสร้งแกล้งสร้างภาพออกมาให้เห็นเป็นว่าเรารัก เราชอบ เราถูกชะตา เราให้เกียรติ เราให้ค่า เราให้ราคา เราให้คุณค่า เราให้ความสำคัญ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย

แต่ก็พยายามฝืนใจ เสแสร้งแสดงออกหรือพูดออกมาในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริง อย่างนี้เรียกว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” ซึ่งไปพ้องกับคำพังเพยไทยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” ซึ่งก็มีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน

ตามความหมายของคำพังเพยไทย คำว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” เป็นคำที่มีความหมายไปในทางที่ไม่สู้ดีสักเท่าใดนัก แต่บทความนี้จะขอนำเสนอคำว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” ในมุมมองหรือความหมายที่แตกต่างไปจากเดิม

เราลองมาวิเคราะห์คำว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” อย่างตรงไปตรงมาอีกสักครั้งว่า ทำไมผู้คนจึงต้อง “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” ทำไมผู้คนจึงไม่กล้าหาญที่จะนำเสนอหรือเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนต่อกันและกัน

หรือว่าคนๆ นั้น ไม่มีความภาคภูมิใจ ไม่มีความมั่นใจในใบหน้าของตนเอง หรือไม่ก็พยายามปกปิดอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้คู่สนทนาหรือคนทั่วไปได้รู้ได้เห็นก็เป็นได้ จึงต้อง “ใส่หน้ากากเข้าหากัน

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในสังคมการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากนั้น สิ่งที่คนเราจะแสดงออกหรือพูดออกมานั้น สามารถจำแนกแยกประเภทออกมาได้เป็น 2 อย่าง คือ

1) สิ่งที่กระทำหรือพูดออกมาตามสัญชาตญาณความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริง และ

2) สิ่งที่กระทำหรือพูดออกมาตามมารยาททางสังคม ระเบียบปฏิบัติ จารีต ประเพณี วัฒนธรรม กฎข้อบังคับต่างๆ ที่คอยบีบบังคับให้ต้องแสดงออกหรือพูดจาปราศรัยออกมา

คนที่กระทำหรือพูดจาปราศรัยตามสัญชาตญาณ ความรู้สึกนึกคิด หรืออารมณ์ของตนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะมาจากจิตสำนึกที่ดีหรือไม่ก็ตาม บุคคลประเภทนี้จัดอยู่ในประเภทคนเปิดเผย เป็นคนที่เปิดหน้ากากเข้าหาคนอื่น คิดอย่างไรก็แสดงออกหรือพูดออกมาอย่างนั้น ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียตามมา

คือ หากสิ่งที่แสดงออกหรือพูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามตามหลักศีลธรรมอันดี ถูกต้องชอบธรรมตามตัวบทกฎหมายบ้านเมือง จารีต ประเพณีและวัฒนธรรมแล้ว ก็ส่งผลให้คู่สนทนาและผู้คนในสังคมยอมรับ ยกย่อง และสรรเสริญ

แต่ถ้าหากสิ่งที่แสดงออกหรือพูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมอันดี ไม่ถูกต้องชอบธรรมตามตัวบทกฎหมายบ้านเมือง จารีต ประเพณีและวัฒนธรรมแล้ว คู่สนทนาหรือผู้คนในสังคมก็ย่อมไม่ให้การยอมรับ กลับคอยตำหนิติเตียน และตั้งข้อรังเกียจบุคคลนั้นอย่างแน่นอน

ในทางตรงกันข้าม คนที่กระทำหรือพูดจาปราศรัยออกมาโดยคำนึงถึงมารยาททางสังคม การยอมรับของสังคม ให้ถูกต้องตามหลักศีลธรรมอันดี ให้ถูกต้องชอบธรรมตามตัวบทกฎหมายบ้านเมือง จารีต ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นหลัก ไม่ว่าจะมาจากสัญชาตญาณ ความรู้สึกนึกคิด หรือจิตสำนึกที่ดีของตนหรือไม่ก็ตาม ก็พยายามรักษามารยาททางสังคมไว้

บุคคลประเภทนี้ จัดอยู่ในประเภท “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” คิดอย่างไร ก็ไม่ได้แสดงออกหรือพูดออกมาตามสัญชาตญาณ ความรู้สึกนึกคิด หรืออารมณ์ของตนเป็นใหญ่

หากแต่คำนึงถึงมารยาททางสังคม คำนึงถึงหลักศีลธรรมอันดี คำนึงความถูกต้องชอบธรรมตามตัวบทกฎหมายบ้านเมือง จารีตประเพณีและวัฒนธรรมทางสังคมเป็นหลัก

ถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่ถูกตรงตามสัญชาตญาณ ความรู้สึกนึกคิด และอารมณ์ของตนในขณะนั้นก็ตาม ก็พยายามเสแสร้งแกล้งแสดงออกหรือพูดจาออกมา ในอันที่จะให้ถูกต้องตามมารยาททางสังคม ให้ถูกต้องชอบธรรมตามตัวบทกฎหมายบ้านเมือง ตลอดจนถึงให้ถูกต้องตามจารีต ประเพณีและวัฒนธรรมทางสังคมเป็นที่ตั้ง

กล่าวให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ เป็นคนที่ “รู้จักข่มอารมณ์ความรู้สึก”, “รู้จักยับยั้งชั่งใจ”, “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนดีมีมารยาทโดยสัญชาตญาณที่แท้จริงจากภายในก้นบึ้งของหัวใจก็ตาม แต่ก็ยังดีที่สามารถยับยั้งชั่งใจ รู้จักข่มอารมณ์ความรู้สึกตามสัญชาตญาณที่แท้จริงไม่ให้ระเบิดออกมาทำร้าย-ทำลายทั้งตนเองและผู้คนในสังคม ก็ถือว่ายังมีคุณมากกว่าโทษ

นั่นอาจเป็นเพราะว่า ใบหน้าของคนๆ นั้น ไม่สวย ไม่หล่อ มีตำหนิ มีรอยแผลเป็น มีรอยกระ มีใบหน้าผิดรูป มีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องการปกปิดอำพรางไม่ให้ใครได้เห็น

เมื่อเอาใจใส่คอยฝึกตนเองให้มีความรู้จักยับยั้งชั่งใจ ข่มอารมณ์ฝ่ายต่ำที่เกิดขึ้นมาในขณะนั้นๆ ได้ นานเข้าก็จะกลายเป็นอุปนิสัยหนุนนำส่งให้เป็นคนดี มีมารยาททางสังคม อันเกิดจากจิตสำนึกภายใต้ก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริงได้ในที่สุด

คนเช่นนี้ เรียกว่า “ใส่หน้ากากเข้าหากัน”การสวมใส่หน้ากากเข้าหากันเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 ก็ดี การสวมใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อไวรัส Covid-19 ก็ดี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่มีเหตุผลเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่นหรือจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่ส่งผลกระทบทั้งต่อตนเองและผู้คนในสังคมส่วนรวมฉันใด

การสวมใส่หน้ากากกล่าวคือมารยาททางสังคมเข้าหากัน ก็เพื่อป้องกันอันตรายกล่าวคือความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินเงินทอง ความเชื่อถือ ความเชื่อมั่น ต่อภาพพจน์ของบุคคลนั้นๆ รวมถึงผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมด้วยฉันนั้น

การใส่หน้ากากเข้าหากัน” ในความหมายอย่างหลังนี้ จึงหมายถึงการรักษามารยาททางสังคม ในการพบปะติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น ให้อยู่ในกรอบ ในขอบเขตที่ไม่ไปล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ไม่ไปเบียดเบียน ทำร้าย ทำลายบุคคลอื่นหรือสังคมส่วนรวม

การรู้จักยับยั้งชั่งใจ ข่มอารมณ์ ข่มความรู้สึกที่ไม่ดีของตนไม่ให้แสดงออกมาทางการกระทำ คำพูด หรืออาการใดๆ ที่ส่อให้คู่สนทนาหรือผู้คนในสังคมได้รับรู้ รับทราบอารมณ์ความรู้สึกในด้านลบของตนได้

หากแต่คอยเสแสร้ง ปิดบัง อำพราง ปกปิด กลบเกลื่อน ไม่ให้ความรู้สึกที่ไม่ดีนั้นประทุออกมาทำร้ายใครๆ ได้

แต่ทั้งนี้ ต้องพยายามฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนดี มีมารยาทในการเข้าสังคม อันเป็นผลมาจากการพัฒนาจิตใจให้ดีงาม มีความแข็งแกร่ง รักในความถูกต้อง ยุติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเสแสร้งแกล้งทำร่ำไป ซึ่งอาจส่งผลให้กลายเป็นคนประเภท “หน้าไหว้หลังหลอก”, “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ”, “ปากหวานก้นเปรี้ยว”, หรือ “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” ไปเลยก็เป็นได้

การใส่หน้ากากเข้าหากัน” เมื่อพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ถูกต้องดีแล้ว รู้จักนำมาปรับใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนตนเองให้มีมารยาทในการเข้าสังคม การพัฒนาบุคลิกภาพ และการพัฒนาจิตใจแล้ว ก็ถือได้ว่า “การใส่หน้ากากเข้าหากัน” ยังมีคุณมากกว่าโทษเป็นไหนๆ

จึงขอเชิญชวนท่านผู้อ่านทุกท่านมาร่วมแสดงพลังแห่ง “การใส่หน้ากากเข้าหากัน” เพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 ป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อไว้รัส Covid-19 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ให้ทำร้ายหรือทำลายโลกนี้ได้อีกต่อไป

และขอเชื้อเชิญทุกท่านได้ร่วม “ใส่หน้ากากเข้าหากัน” เพื่อรักษามารยาทในการพบปะ ติดต่อ สื่อสารระหว่างกัน เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการเข้าสังคมกับคนหมู่มาก ผ่านพฤติกรรมการแสดงออก การพูดจาปราศรัยที่ดีระหว่างกัน อันมีส่วนสำคัญยิ่งในการจรรโลงสังคมโลกมนุษย์ให้น่าอยู่ตราบนานเท่านาน…