การกลับมาของ Covid-19
วิกฤตการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ จนถึงปัจจุบัน สร้างปัญหาด้านสุขภาพ และสร้างความเดือดร้อนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก และไม่มีทีท่าว่าปัญหานี้จะหมดไปจากประเทศไทยและจากโลกนี้ได้โดยง่าย
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกในบัดดล จนกลบลบกระแสความร้อนแรงของปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไปแบบทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ก็คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัส Covid-19 ที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน และได้แพร่ขยายไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยของเราและทั่วโลก
โรคร้ายนี้ได้สร้างความตระหนกแตกตื่นให้กับผู้คนโดยทั่วไป เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้ สามารถแพร่ขยายไปได้อย่างรวดเร็ว ผ่านสารคัดหลั่งในร่างกาย รวมถึงการไอ จาม และการสัมผัสทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง และการถูกต้องสัมผัสกับวัสดุสิ่งของต่างๆ ที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือ “ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า”
ทำให้ผู้คนยิ่งเกิดความตระหนกและหวาดกลัวเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าทวีคูณในช่วงแรกที่ไวรัสแพร่กระจายมาสู่ประเทศไทย แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยจะสามารถรับมือป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างไม่น่าหนักอกหนักใจอะไร
ต่อมาเริ่มพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้รัฐบาลไทยมีมาตรการป้องกันออกมาอย่างเคร่งครัด เช่น การปิดผับ บาร์ สถานบันเทิง ร้านอาหาร ร้านค้า ตลาดนัด รวมถึงสถานที่ที่มีผู้คนรวมตัวกันจำนวนมากๆ ตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป
การซื้อ-ขายอาหารและเครื่องดื่ม ให้ซื้อกลับไปทานที่บ้าน ( Take Away) เท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้นั่งทานในร้าน ออกมาตรการให้งด เว้น หลีก เลี่ยง และเลิกการจัดประชุม การสัมมนา การออกบูธ งานอีเว้นท์ต่างๆ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด รวมถึงมาตรการหยุดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสอีกด้วย
การจัดงานบวช งานแต่ง งานฉลอง งานรื่นเริง งานขึ้นบ้านใหม่ งานศพ และการจัดงานอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ก็มีการกำหนดรูปแบบและวิธีการจัดงานออกมาให้ปฏิบัติกันอีกด้วยในกรณีที่ไม่สามารถจะงด เว้น หรือหลีกเลี่ยงได้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19
มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่รัฐบาลกำหนดให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อระวังป้องกันตนเองและสังคม อาทิ การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) คือการงดเว้นจากการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม การอยู่ใกล้ชิดกัน การอยู่ในที่แออัดจอแจไปด้วยผู้คน และให้ผู้คนเร่งปรับตัวให้ได้ตาม “ชีวิตวิถีใหม่” (New Normal)
การเว้นระยะห่างระหว่างกันตั้งแต่ ๑-๒ เมตรเป็นอย่างน้อย การสวมใส่หน้ากากป้องกันทุกครั้งที่ออกจากบ้าน หรือออกไปพบปะผู้คน การล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า ๗๐-๗๕ เปอร์เซ็นต์ การกักตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่เดินทางออกไปในที่ต่างๆ เพื่อลดโอกาสการรับเชื้อและการแพร่เชื้อตามสโลแกนที่ว่า “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบในด้านลบกับระบบเศรษฐกิจการค้า-ขาย การประกอบอาชีพของผู้คนในประเทศไทยเท่านั้น ยังส่งผลกระทบถึงการจัดการเรียนการสอนของไทยอีกด้วย
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมก็ได้ออกมาตรการให้สถานศึกษาทุกแห่งในประเทศ ตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษาหยุดกิจกรรมการเรียนการสอนหรืองดการจัดการเรียนการสอนแบบเรียนรวมในห้องเรียน แต่ให้จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์หรือมอบหมายงานให้ทำที่บ้านแทนการเข้าเรียนในห้องเรียน
ทั้งนี้ให้รวมถึงการสอบวัดผลการศึกษาด้วยสำหรับข้าราชการนั้น ทางรัฐบาลก็กำหนดมาตรการให้สามารถทำงานที่บ้าน (Work at home) โดยให้ทำงานส่งผ่านระบบแอพลิเคชั่นไลน์ (Line) หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 จะคลี่คลายลง หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
รวมถึงได้กำหนดมาตรการในการควบคุม คัดกรอง ตรวจสอบผู้ที่จะเข้า-ออกในสถานที่ราชการอย่างเข้มงวดอีกด้วยจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ของรัฐบาลที่มีคำสั่งให้สถานประกอบการ สถานบริการ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ปิดกิจการชั่วคราวในช่วงเฝ้าระวังการแพร่ระบาด
จากมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างตามสถานประกอบการร้านค้าต่างๆ ต้องตกงานและขาดรายได้สำหรับนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในทันที นำไปสู่การอพยพเคลื่อนย้ายเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชนจนแน่นขนัดสถานีขนส่งหมอชิต 2 และสถานีขนส่งแห่งอื่นๆ รวมถึงสถานีรถไฟด้วย
ทำให้มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสยิ่งมีความยากลำบากและควบคุมได้ยากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ
แต่รัฐบาลไทย ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค) ก็สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี และได้รับความชื่นชมจากทั่วโลก
และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด (Covid) กำลังกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยส่วนใหญ่แล้วก็มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อของผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในไทย การแพร่ระบาดในกลุ่มของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศพม่า เป็นต้น
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น จึงส่งผลให้ต้องมีการตรึงกำลังตำรวจตระเวนชายแดน ทหารพราน และกองกำลังทหารและหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ดูแลป้องกันการลักลอบเข้ามาในประเทศไทยของประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าว
และจากการติดตามสถานการณ์พบว่า มีการติดเชื้อภายในประเทศไทยแล้วจำนวน 2 ราย ยอดผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นจากจำนวนหลักหน่วยเป็นตัวเลข 2 หลักแล้วในวันนี้ (5 ธ.ค. 2563) มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การใช้ชีวิตตามแบบวิถีใหม่ (New Nomal) และการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคจึงเป็นมาตรการที่ต้องนำมาใช้บังคับและให้ประชาชนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครั เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในระลอกสองที่จะตามมานี้ จึงได้แต่ภาวนาขอให้ประชาชนคนไทยและทั่วโลกผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน
