pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

ละอายชั่ว…กลัวบาป

ที่โลกของเราเดือดร้อน วุ่นวาย สับสน หาความสงบสุขไม่ได้ ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะสาเหตุมาจากมนุษย์โลกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“โลก” ในที่นี้หมายถึง “สัตว์โลก” หรือ “หมู่มนุษย์”, “มวลมนุษยชาติ” ที่สมมติตัวเองว่าเป็นใหญ่และเป็นเจ้าของ ยึดถือครองครองทรัพยากรและพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกนี้เอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ทั้งยังหมายมั่นปั้นมือว่าจะพัฒนาโลกนี้ให้ศิวิไลซ์รุ่งเรืองรุดหน้าไปอย่างยากจะคาดเดาได้ในอนาคต

เพราะ “มนุษย์” เข้าใจว่า ทรัพยากรต่างๆ รวมถึงสัตว์ชนิดอื่นๆ ทั้งหมดในโลกใบนี้เป็นของ “มนุษย์” เท่านั้น จึงได้พยายามใช้สอย แสวงหาประโยชน์และความสะดวกสบายจากทรัพยากรของโลกไปอย่างไม่คุ้มค่า ไม่เกิดประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น หรือถึงขั้นเป็นการทำลายโลกไปในตัว

“มนุษย์” เป็น “สัตว์สังคม” ที่รักการอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นสังคม มีการแบ่งลำดับชั้นวรรณะตามตำแหน่งทางสังคมเพื่อปกครองดูแลกัน จัดสรรผลประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆ ให้กันและกันตามความเหมาะควร

แต่นี่อาจเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อความชอบธรรมสำหรับการปกครองและจัดสรรอำนาจผลประโยชน์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น เพราะหลักการและอุดมการณ์ที่สวยหรู อาจใช้ไม่ได้จริงในสังคมมนุษยโลก

ทำไมจึงได้กล่าวเช่นนั้น ? คำตอบก็คือ เป็นเพราะว่ามนุษย์โลก ต่างก็เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา ทะเยอทะยานอยากได้ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีคำว่า “พอ” และยิ่งอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก เป็นหมู่คณะ เป็นสังคมแล้ว ยิ่งส่งผลให้ตัวกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทำงานหนักยิ่งขึ้นไปอีก

เพราะนี่กำลังเป็นขั้นตอนหรือพัฒนาการอีกขั้นสำหรับการคิดหากลอุบายสำหรับเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน โดยมีอำนาจ และผลประโยชน์ต่างๆ เป็นเครื่องล่อ โดยไม่สนใจว่าจะกระทบกับผู้อื่นหรือไม่ อย่างไร คิดเพียงแต่ว่า ตัวเรา กลุ่มเรา ทีมเรา คณะเรา พวกเราได้รับอำนาจประโยชน์มากกว่าผู้อื่น กลุ่มอื่น ทีมอื่น คณะอื่น พวกอื่น ก็เป็นอันใช้ได้

“มนุษย์” เมื่อถูกอำนาจแห่งความโลภ ความโกรธ และความหลงเข้าครอบงำจิตใจแล้ว ก็สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ สามารถทำร้ายทำลายกันได้อย่างไม่ปรานีปราศรัย ลุ่มหลงและมัวเมาในอำนาจและสิ่งที่ตนมี จนลืมความเป็น “มนุษย์” หรือทำให้คุณธรรมของความเป็นมนุษย์ “น้อยลงๆ” จนกระทั่ง “หมดไป” ได้ในที่สุด

เหตุผลที่ “มนุษย์” ไม่อาจจะธำรงตนอยู่ในหลักศีลธรรมอันดีได้ ไม่สามารถดำรงตนอยู่ในหลักความถูกต้องยุติธรรมได้ ไม่อาจจะยืนอยู่บนหลักศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรมอันดีได้ ก็เพียงเพราะมนุษย์ปล่อยให้ตนเองตกเป็นทาสของตัณหา คือความอยากได้แบบไร้ขอบเขต ไร้ขีดจำกัด ตกเป็นทาสของอารมณ์ มัวเมาลุ่มหลงไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หนักเข้าก็จะเป็นผู้ไม่รู้จัก “ละอายชั่ว” และไม่ “กลัวบาป”

ที่โลกต้องวุ่นวายเดือดร้อนอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้นอยู่นี้ ก็เพราะ “มนุษย์” ไม่รู้จัก “ละอายชั่ว” ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “หิริ” แปลว่า “ความละอายใจ”

ละอายใจต่อความผิด ความชั่ว ความเลว ความไม่ดีต่างๆ ที่เมื่อกระทำหรือพูดออกไปแล้วจะกระทบกับคนอื่นๆ กับสังคมประเทศชาติ และกับโลกใบนี้ในทางลบ ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อตนเองและต่อสังคมโดยส่วนรวม

คือมักจะไม่มีความกระดากอาย กล้าหาญชาญชัยที่จะทำความชั่วอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่แคร์สื่อใดๆ ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับตนเอง หรือจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากผลของการกระทำหรือคำพูดของตนเอง

แบบนี้โลกก็เดือดร้อน เพราะคนเราไม่รู้จักละอายต่อการทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ก่อให้เกิดปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหามลพิษต่างๆ ปนเปื้อนอยู่ในธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ ทะเล แม่น้ำ ลำธาร ก็เป็นผลมาจากคนเราไม่มีความละอายใจที่จะทำความชั่ว ไม่สนว่ากระกระทำหรือคำพูดของตนจะส่งผลไม่ดีอย่างไรต่อสังคมเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือกับสิ่งแวดล้อม

สาเหตุที่โลกของเราต้องเดือดร้อนวุ่นวายประการต่อมาก็คือ มนุษย์เราไม่รู้จัก “กลัวบาป” คำว่า “กลัวบาป”

ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่า “กลัวจะถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับได้ แล้วจับกุมคุมขังลงโทษ คิดไปแต่เพียงว่า หากไม่ถูกจับได้ก็เป็นอันแล้วกัน รอดตัวไป ไม่มีผลกระทบใดๆ หากแต่คำว่า “กลัวบาป” ในที่นี้

แต่หมายถึงความกลัวต่อผลของ “กรรม” คือผลของ “การกระทำ” และ “คำพูด” ที่เราได้กระทำหรือเปล่งออกมา ว่าจะส่งผลอย่างไรต่อทั้งตนเอง สังคม ประเทศชาติ รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย

เหตุผลที่ต้อง “กลัว” ก็คือสิ่งที่จะเป็นผลพวงตามมาจากการกระทำหรือคำพูดที่ขาดคุณธรรมและความรับผิดชอบของเราจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างไม่จบไม่สิ้น เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาครอบครัว ปัญหาความรุนแรงในสังคม ปัญหาอาชญากรรม รวมถึงปัญหามลพิษต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของทุกชีวิตในโลก

แต่เมื่อทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน รักใคร่ สมัครสมานกลมเกลียวกัน รู้จักละอายต่อความชั่ว ไม่ทำอะไรตามอำเภอใจ รู้จักยับยั้งชั่งใจการกระทำและคำพูดที่จะส่งผลเสียให้กับตนเองหรือผู้อื่น รวมถึงสังคม ประเทศชาติ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ รู้จักรักและให้เกียรติผู้อื่น เคารพในสิทธิหน้าที่ของคนอื่น ไม่ละเมิดสิทธิหน้าที่คนอื่น ครองตนด้วยคุณธรรมจริยธรรมและหลักแห่งความถูกต้องเที่ยงธรรม สร้างมาตรฐานความเป็นธรรมให้เกิดเป็นบรรทัดฐานสำหรับใช้กับทุกคนในสังคมโดยเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ก็ส่งผลให้โลกร่มเย็นได้ในทางหนึ่ง

เมื่อทุกคนบนโลกใบนี้ รู้จักกลัวต่อบาปกรรมหรือการกระทำตลอดจนคำพูดที่ไม่ดี ที่เราได้กระทำหรือเอื้อนเอ่ยออกไป กลัวว่าเมื่อกระทำหรือพูดสิ่งนั้นออกไปแล้วจะมีผลกระทบที่ไม่ดีอย่างไรตามมา เล็งเห็นผลในอนาคตว่าจะเกิดผลอย่างไรตามมา

จะว่าไปแล้ว คุณธรรมข้อ ๒ คือ โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาปนี้ ก็หมายถึง ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วย “เหตุผล” คือรู้ทั้ง “เหตุ” ทั้ง “ผล” ของการกระทำและคำพูด

เมื่อรู้เหตุผลว่ามีความสัมพันธ์ สอดคล้อง เกี่ยวโยง เชื่อมประสานสอดคล้องกันอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่กล้าทำหรือพูดสิ่งที่มีผลในทางลบ ทางเสื่อม ทางไม่ดีนั้นออกไป เพราะเล็งเห็นผลในอนาคตอยู่แล้วว่า จะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง คนอื่นและสังคมโลกโดยรวมอย่างแน่นอนยากจะแก้ไขหรือรับมือได้

คนที่ทำความชั่ว ความเดือดร้อนวุ่นวาย ก่อปัญหาให้กับสังคมโลกอย่างไม่หยุดหย่อน ก็เพราะเป็นคนคิดสั้นๆ ทำไปโดยไร้สติ ขาดเหตุผล จนวิสัยทัศน์ที่จะช่วยให้เล็งเห็นผลของสิ่งที่จะกระทำหรือพูดออกไปว่า จะก่อให้เกิดผลอย่างไรตามมา

มักจะทำและพูดด้วยอารมณ์และความรู้สึกชั่ววูบ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ มองโลกแคบ มองโลกแบบชนิดที่เรียกว่า “มองไม่ขาด”, “มองไม่ตลอด” จึงมักจะเห็นผู้คนเอารัดเอาเปรียบกัน ออกมาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายกันในสังคมมากต่อมาก เพราะมีคนประเภท “ไม่ละอายชั่ว” และ “ไม่กลัวบาป” อยู่เป็นจำนวนมาก

ดังนั้น สังคมโลกจะผ่านพ้นจากวิกฤตความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ทุกๆ คน หรือคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ ต้องมีจิตสำนึก “ละอายชั่ว” และ “กลัวบาป” รู้จักให้เคารพให้เกียรติผู้อื่น ไม่ละเมิดสิทธิหน้าที่ของผู้อื่น แบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างเหมาะสมลงตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน สังคมก็จะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

เพียงแค่คนเรารู้จัก “ละอายชั่ว” และ “กลัวบาป” ก็สามารถป้องกันคุ้มครองโลกนี้ให้สุขสงบร่มเย็นผาสุกได้อย่างยั่งยืนถาวรแล้ว มาร่วมสร้างจิตสำนึกแห่งการ “ละอายชั่ว” และ “กลัวบาป” ให้เกิดขึ้นในสังคมของเราเถอะครับ แล้วจะพบว่า “ทุกคน” สามารถเป็น “ฮีโร่” สำหรับปักปักรักษา คุ้มครองป้องกัน รักษาโลกนี้ให้น่าอยู่ต่อไปได้อีก ตราบนานเท่านาน….


ใส่ความเห็น