pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

อย่ามองข้าม… “กำลังใจ”

ปฐมทัศนา-ปฐมเจดีย์

ผมมีโอกาสได้ส่งน้องคนหนึ่งเดินทางไปสอบเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจ สนามสอบตำรวจภูธรภาค 7 สนามสอบโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 13 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดเวลาให้เริ่มทำข้อสอบจำนวน 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

เดินทางออกจาก กทม. เวลา 05.30 น. โดยประมาณ จุดหมายปลายทางอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร และโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

ตามแผนการเดินทางที่ตกลงกันไว้ก็คือ จะไปเที่ยวกราบนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์และพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่วัดพระปฐมเจดีย์ก่อน มีเวลาหลังจากนั้นก็จะพักทานอาหารกลางวัน และเดินทางไปที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานที่จัดสอบตามลำดับ

เดินทางจาก กทม. ถึงวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ใช้เวลาประมาณ 50 กว่านาที เพราะช่วงเช้ารถจะน้อย เลยทำให้การขับขี่ยวดยานพาหนะคล่องตัวมากกว่าช่วงสายและช่วงเย็น

ไหว้องค์พระปฐมเจดีย์, พระร่วงโรจนฤทธิ์ เสร็จสรรพ พักทานอาหารกลางวันต่อทันที จากนั้นก็เดินทางไปยังโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัยช่วงเวลาประมาณ 11.30 น.

โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม

การจราจรหน้าโรงเรียนหนาแน่นมากๆ รถเคลื่อนตัวได้ช้ามากถึงมากที่สุด ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึบบริเวณหน้าประตูเล็กด้านสนามกีฬา-โรงอาหารของโรงเรียน รถติดมากๆ ดีที่เข้ามาเลนซ้ายสุดได้ทันเวลา บริเวณด้านหน้ารถของผมมีรถคันอื่นๆ ที่มาส่งผู้เข้าสอบกำลังจอดให้ผู้เข้าสอบลงจากรถเป็นระยะ ท่ามกลางคลื่นผู้คนที่จอแจอยู่เต็มเปี่ยมของพื้นที่

สังเกตเห็นด้านหน้าของประตูทางเข้าโรงเรียนทั้ง 2 ข้าง มีการนำเอาอุปกรณ์สำหรับการทำข้อสอบ เช่น ดินสอดำขนาด 2B ยางลบ และอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับใช้ในการทำข้อสอบ วางขายอยู่อย่างคึกคัก และก็เช่นเดียวกัน มีผู้เข้าสอบในครั้งนี้เข้าไปซื้อหากันเป็นจำนวนมาก

ผมจอดรถให้น้องลงตรงนี้ พร้อมทั้งกำชับให้นำอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับใช้ในการสอบติดตัวไปให้ครบถ้วน รวมถึงเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ใช้เป็นหลักฐานสำหรับการยื่นต่อเจ้าหน้าที่ที่เป็นคณะกรรมการจัดสอบด้วย

ตอนแรกน้องบอกว่าจะขอฝากโทรศัพท์ไว้ในรถด้วย แต่ผมก็เกรงว่า ถ้ามีความจำเป็นจะต้องติดต่อกันขึ้นมา โอกาสที่จะติดต่อกันได้จะกลายเป็นศูนย์ไปเลย และอีกอย่างก็ยังไม่ใกล้ถึงเวลาสอบขนาดนั้น ยังพอมีเวลาให้ได้เตรียมตัวกันยาวๆ

ก็เลยบอกน้องไปว่า ให้เก็บโทรศัพท์ไว้กับตัวก่อน ถ้าหากกรรมการเขาให้เก็บก็ให้ฝากกรรมการไว้ เพราะแน่ใจว่าจะต้องมีคนที่ดูแลเรื่องการฝากสิ่งของต่างๆ ของผู้เข้าสอบด้วยอย่างแน่นอน

ผมขับรถวนหาที่จอดอยู่นานสองนาน แน่ใจแล้วว่าบริเวณโดยรอบโรงเรียนไม่มีพื้นที่ใดเลยที่สามารถจอดรถได้แล้ว ก็เลยขับรถผ่านสะพานข้ามคลองไปหน่อยหนึ่ง เห็นรถจอดอยู่ทางด้านซ้ายมือประปรายเป็นระยะ ผมขับเลยไปนิดหนึ่ง สังเกตเห็นกำลังจอดรถซื้อกล้วยแขกอยู่ข้างทาง เลยนำรถเข้าไปจอดบ้าง

พอจอดรถได้ที่แล้ว ผมก็ลงจากรถ ล็อกประตูรถ เช็คความเรียบร้อยปลอดภัยอย่างดีที่สุดแล้ว แกล้งเนียนไปซื้อกล้วยแขก 20 บาท พร้อมกับบอกคนขายกล้วยแขกว่า ผมขอฝากดูรถให้ด้วยนะครับ พอดีว่าจะแวะเข้าไปในโรงเรียน ไปเป็นกำลังใจให้น้องที่มาสอบเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจ ซึ่งคนขายกล้วยแขกก็ไม่ได้ตอบรับหรืออย่างไร เพียงแต่แสดงอาการผงกหัวหงึกๆ พอเป็นสัญญาณให้ผมคิดมโนไปเองว่า “น่าจะโอเค”

ผมเดินข้ามถนน ข้ามสะพาน แล้วก็ข้ามถนนอีกครั้ง เดินอ้อมด้านหลังโรงเรียนไปบริเวณด้านหน้าโรงเรียนวนเป็นรูปตัว L แล้วก็ฝ่าฝูงชนเข้าไปหาที่นั่ง เข้าใจว่าน้องคนที่มาเข้าสอบคงจะเข้าสนามสอบไปแล้ว เลยคิดในใจว่า จะไปนั่งเล่นโทรศัพท์รอที่อัฒจรรย์ข้างสนามกีฬาโรงเรียน ซึ่งมีคนนั่งอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก

หาที่ว่างสำหรับนั่งได้แล้ว ทดลองหย่อนก้นลงนั่งได้สักพัก นึกขึ้นมาในใจได้ว่า น่าจะลองโทรหาน้องดู เผื่อกรรมการเค้ายังไม่ยึดโทรศัพท์ก็ได้ เพราะยังไม่ทันถึงหรือใกล้เวลาสอบ

กดไลน์โทรหาน้องลองดู ปรากฏว่าน้องรับสาย ถามผมว่าผมอยู่ที่ไหน ผมก็ตอบไปว่าผมนั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ด้านข้างสนามกีฬาโรงเรียน น้องเลยบอกผมว่า น้องนั่งอยู่ที่โรงอาหารโรงเรียน ตรงที่มีคนนั่งกันเยอะๆ ผมเหลือบมองไปทางด้านหลังอัฒจรรย์บริเวณที่ผมนั่งอยู่ ก็เห็นจริงตามนั้นว่า มีคนนั่งอยู่ในโรงอาหารอยู่ เลยเดินเข้าไปในโรงอาหาร

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าของผมคือ ในบริเวณโรงอาหารนั้น มีผู้คนจับจองพื้นที่โต๊ะภายในโรงอาหารเต็มไปหมด แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้เราเข้าไปแจมนั่งด้วยได้เลย

กวาดสายตามองไปลึกๆ ด้านในโรงอาหาร บริเวณกลางๆ ของพื้นที่ เห็นน้องยกมือโบกเรียกให้เข้าไปหา กำหนดพิกัดได้แล้วก็เดินตรงไปขอนั่งด้วย ซึ่งก็ต้องขอบอกว่า ที่โต๊ะตัวนี้ก็มีผู้มานั่งจับจองอยู่ก่อนแล้วถึง 4-5 คนด้วยกัน

นั่งคุยกันถึงเรื่องเทคนิคการบริหารเวลาทำข้อสอบ การทำใจไม่ประหม่าเมื่อแรกเห็นข้อสอบและการตัดสินใจเลือกตอบข้อสอบ ซึ่งในระหว่างนี้น้องก็ขอฝากอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทางสนามสอบห้ามไม่ให้นำเข้าห้องสอบ เช่น โทรศัพท์มือถือ นาฬิกาข้อมือ และอื่นๆ อีก 2-3 รายการ ให้ผมเก็บไว้ ในระหว่างนี้ ก็มีผู้เข้าสอบและผู้ปกครองของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ทยอยกันเดินเข้ามาหาที่นั่งภายในโรงอาหารนี้อย่างไม่ขาดสาย

นั่งคุยกันสักพักหนึ่ง เวลาประมาณ 12.30 น. มีเสียงประกาศประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่จะเข้าสอบในครั้งนี้เตรียมตัวทำธุระให้เรียบร้อย เตรียมอุปกรณ์ทำการสอบ และเอกสารหลักฐานสำหรับยื่นให้กรรมการควบคุมห้องสอบได้ทำการตรวจสอบสิทธิ์บุคคลผู้เข้าสอบ

เวลานี้ผู้เข้าสอบทุกคนต่างทยอยเดินทางผ่านเข้าไปบริเวณช่องทางซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ผ่าน สำหรับผู้ที่จะเข้าสอบเท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปอย่างเด็ดขาด ถึงตอนนี้ น้องก็เดินทางปะปนไปกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เพื่อเตรียมตัวสอบต่อไป

ตัวผมเองก็เอาของที่น้องฝาก รวมใส่ไว้ในหมวกแก๊ป และนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง เวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที ก็ถูกความง่วงเหงาเข้าครอบงำ เผลอฟุ๊บหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอตื่นมาอีกทีก็ปรากฏว่า มีน้องๆ ผู้หญิงสาวสวยอายุราว 20-23 ปี เห็นจะได้ จำนวน 3 คน เข้ามานั่งโต๊ะที่ผมนั่งอยู่

สังเกตดูอิริยาบถน้องสักพัก มองกันไปมองกันมา จนเริ่มจะคุ้นสายตากันแล้ว ผมก็เลยเอ่ยปากถามน้องผู้หญิงคนหนึ่งว่า “น้องมากับใครหรอ” น้องผู้หญิงคนนั้นก็ตอบผมว่า “มากับแฟนคะ หนูส่งแฟนมาสอบ” ผมก็เลยถามต่อไปว่า “มาส่งแฟนหมดทั้ง 3 คนเลยหรอ” น้องก็ตอบว่า “ค่ะ มาส่งแฟนสอบทั้ง 3 คนคะ” จากนั้น น้องทั้ง 3 คนก็ทำหน้าเขินอายๆ พอจบบทสนทนาแล้ว ผมก็ก้มหน้าก้มตาเช็คเฟสเช็คไลน์ในโทรศัพท์ของผมต่อไป

ระหว่างนี้เอง ผมก็สังเกตเห็นว่า ในจำนวนผู้คนที่มากันมากมายถึงขนาดนี้นั้น นอกจากผู้เข้าสอบในครั้งนี้แล้ว ยังมีคนมาส่ง ซึ่งเป็นคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา หรือญาติๆ กัน พาผู้สมัครสอบมาสอบและให้กำลังใจในการสอบ

นอกจากนั้นก็ยังมีแฟน ภรรยา หรือคนรัก ส่งแฟน สามีหรือคนรักมาเข้าสอบด้วย ก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน ประเมินจากสายตา น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 60% ของจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด ที่ให้แฟนพามาสอบ ที่เหลือก็เป็นคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง และญาติๆ กัน พามาสอบ

ผมสังเกตเห็นความตั้งใจ และประกายแห่งความหวัง ผ่านสายตาของบุคคลเหล่านี้ คนที่คอยให้กำลังใจ ทุ่มเท เสียสละค่าใช้จ่าย เสียสละเวลา เดินทางมากับผู้เข้าสอบจากภูมิลำเนาต่างที่ต่างถิ่น ต่างภาค ต่างจังหวัด มารวมตัวกัน ณ ที่นี้ ด้วยความหวังว่า จะให้ลูกหลาน สามี แฟน หรือคนที่เรารักนั้น สามารถผ่านการทดสอบ สอบได้ หรือมีรายชื่อติดประกาศว่าเป็นผู้สอบได้-สอบผ่าน

เพื่อที่จะให้เขาเหล่านั้น มีอาชีพการงานที่มั่นคง ได้รับราชการ มีเกียรติยศ เป็นหน้าเป็นตาในสังคม เป็นกำลังหลักของครอบครัว และเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า จึงพยายามทุ่มเท เสียสละค่าใช้จ่าย แรงกาย แรงใจ และเวลาที่มีค่า เพื่อให้คนที่ตนเองรักและปรารถนาดีอย่างที่สุดนี้ ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่มุ่งหวังไว้ โดยที่ไม่สนใจว่าตนเองผู้ให้การสนับสนุน ส่งเสริม และให้กำลังใจอย่างเต็มที่นี้ จะต้องเหนื่อยยากและลำบากสักเพียงใด

ความอดทนของผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

ผมสังเกตเห็นพ่อแม่ที่ยอมนั่งสัปหงก รอเวลาให้ลูกสอบเสร็จ และทำข้อสอบได้ ส่งผลให้สอบผ่าน ซึ่งเป็นประกายแห่งความหวังที่ลุกโชนอยู่ภายในจิตใจของพ่อแม่ทุกคน

บางครอบครัว นอกจากพ่อแม่ที่มาส่งลูกมาสอบแล้ว ยังมีพี่ มีน้อง มีคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย และญาติๆ เดินทางมาร่วมส่งใจเชียร์เป็นกำลังใจให้ด้วย

บางครอบครัว ก็มีมาเฉพาะแต่คุณพ่อ หรือคุณแม่ คนใดคนหนึ่ง ส่งลูกมาสอบในครั้งนี้

บางคนก็เป็นภรรยา หรือแฟนสาว ส่งสามีหรือแฟนหนุ่มมาสอบ

ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดกับผู้เข้าสอบก็ตาม ทุกคนก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ต่างก็มาด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักและความปรารถนาดี แววตาที่ส่องประกายแห่งความหวังว่าลูกหลานของตน สามี หรือ แฟนหนุ่มของตน จะต้องทำได้ จะต้องทำสำเร็จ เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้าร่วมกัน

ดังนั้นจึงเห็นบุคคลเหล่านี้ต่างก็มีความมุ่งมั่นพอๆ กับผู้สอบ หรืออาจจะมากกว่าผู้เข้าสอบเสียด้วยซ้ำ เพราะสามารถผ่านบททดสอบที่สุดแสนจะทรมานคือการรอคอยเป็นระยะเวลานานๆ ภายใต้ข้อจำกัด แรงกดดัน และไร้สิ่งอำนวยความสะดวกแบบนี้ได้ ก็ถือว่ามีน้ำอดน้ำทน มีความรัก มีความปรารถนาดี มีความจริงใจ มีความจริงจัง และมีความหวังอยู่เต็มทั้ง 4 ห้องหัวใจอย่างแท้จริง

เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนาสักแค่ไหน จะง่วงเพียงใด จะหิวหรือไม่ จะปวดเมื่อย หรือร้อนอ้าวเพียงไร ก็สามารถอดได้ ก็สามารถทนได้ บางคนผมสังเกตเห็นว่า ถึงกับเอาตัวลงไปนอนที่พื้นโรงอาหาร ใต้โต๊ะอาหารก็มีให้เห็น

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าง่วงมากก็จะพากันนอนฟุ๊บลงไปที่โต๊ะ ซึ่งผมต้องขอบอกกับท่านผู้อ่านตรงนี้เลยว่า การนอนฟุ๊บหลับบนพื้นโต๊ะแข็งๆ แบบนี้ ไม่ใช่การนอนที่ถูกสุขลักษณะแม้แต่น้อยเลย แถมยังนำมาซึ่งอาการปวดเมื่อยและมึนงง เป็นทุกข์ทรมานร่างกายอย่างมากเลย

ที่พูดได้อย่างนี้ ก็เป็นเพราะผมก็ผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาแล้วเช่นกัน

โปรดอย่าลืมคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เราได้ดีในวันนี้

จึงอยากเรียกร้อง วิงวอนให้ผู้ที่ผ่านการทดสอบ ทั้งภาควิชาการ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และการสอบความรู้เฉพาะวิชาชีพหรือความชำนาญเฉพาะสายงาน จนสามารถสอบผ่าน และได้รับการบรรจุตามอัตราที่ทางราชการกำหนดแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ หรือข้าราชการพลเรือนก็ตาม เมื่อประสบความสำเร็จอย่างที่ตนเองมุ่งหวังแล้ว ก็ได้โปรดอย่ามองข้าม “กำลังใจ” ที่เราเคยได้รับจากบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังของเราอย่างเด็ดขาด

บางคนสอบผ่าน สอบได้ ได้รับการบรรจุแต่งตั้งในอัตราตำแหน่งต่างๆ ในต่างพื้นที่ ต่างจังหวัด ต่างภูมิลำเนาแล้ว ได้ดิบได้ดี ประสบความสำเร็จอย่างที่ได้มุ่งหวังตั้งใจแล้ว ก็กลับหลงลืมหรือแกล้งทำเป็นลืมผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

หลงลืมผู้ที่เคยทุ่มเท เสียสละ อุปถัมภ์ เคยให้การช่วยเหลือในด้านต่างๆ หรือแม้แต่เพียงผู้เคยเสียสละเวลาหรือให้กำลังใจเราในวันวานไปเสียสิ้นอย่างมิใยดี

เว้นไว้ก็แต่ว่า จะติดภารกิจทางราชการหรือมีข้อขัดข้องอื่นใดที่สมควรแก่เหตุให้ไม่สามารถติดต่อกันได้ ไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้ หรือเหตุสุดวิสัยอื่นๆ อย่างนี้ ก็สามารถทำความเข้าใจได้อยู่

ดังนั้น ขอให้ทุกท่านจำไว้เถิดว่า เมื่อได้ดิบได้ดี ประสบความสำเร็จดังที่หวังตั้งใจ มีความสุขสันต์มั่นคงอย่างทุกวันนี้ได้ ก็โปรดอย่าลืมหรือมองข้าม “กำลังใจ” ที่เคยได้รับจากความเสียสละทุ่มเทอย่างเต็มกำลังของบุคคลผู้หนึ่งหรือบุคคลกลุ่มหนึ่งในวันวาน….

ใส่ความเห็น