![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/เอาใจเขามาใส่ใจเรา-1024x608.png)
” ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร โบราณว่า
น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า อัชฌาสัย
เราก็จิต คิดดูเล่า เขาก็ใจ
รักกันไว้ ดีกว่าชัง ระวังการ….”
ความเหมือน (ที่แตกต่าง)
คนเราทุกคนที่เกิดมาในโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือ ต้องตกอยู่ในฐานะของผู้ที่มีความทุกข์กาย คือ ต้องตกอยู่ในความเกิด เกิดมาเพื่อรับชะตากรรมคือความทุกข์มีประการต่างๆ ที่ยิ้มแป้นอ้าแขนรอรับเราอยู่เบื้องหน้าจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/FILE-20180610-2053Z7Y51E5S1NBJ.jpg)
ทุกข์กาย
ชีวิตทุกชีวิตต้องตกอยู่ในความแก่ชรา คร่ำคร่า ทรุดโทรม สังขารร่างกายต้องได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วย และถึงแก่ความตายในที่สุด รวมถึงความทุกข์ทนทรมานจากการทำงานหนัก สภาพที่ต้องทนทุกข์ทรมานต่อการเสียดทานบีบคั้นของสภาพดินฟ้าอากาศ หรือความเบียดเบียนบีฑาจากศัตรูหมู่ปัจจามิตร ที่คอยบันดาลเวรภัยให้บังเกิดมีแก่เราได้ทุกขณะ
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/2-14.jpg)
ทุกข์ใจ
นอกจากทุกชีวิตจะได้รับความทุกข์ทางกายมีประการดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สรรพชีวิตยังต้องประสบกับความทุกข์ทางใจ อันได้แก่ความไม่สบายใจ ความขัดใจ ความคับแค้น ความขัดเคืองใจ ความไม่สมหวัง ไม่สมความปรารถนา ความที่ต้องจำใจอยู่กับสภาพหรือกับบุคคลที่ไม่ชอบพอกัน หรือมีเวรภัยต่อกัน ความจำต้องพลัดพรากจากสิ่งหรือบุคคลที่เรารักใคร่ ชอบพอ หวงแหน อยากจะให้อยู่กับตนไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/24-05-20126-20-45pm.gif)
สิ่งเหล่านี้ คือความทุกข์ทางใจ ที่ทุกชีวิตจะต้องได้รับเสมอเหมือนกันอย่างแน่แท้ อาศัยเหตุแห่งเรื่องความทุกข์กายและทุกข์ใจที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสแสดง ชี้แจงเป็นแนวทางสำหรับการพิจารณาตัวเอง และมองผู้อื่นซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันนี้ว่า ควรจะวางใจ-วางตัวกับเพื่อนร่วมโลกกันนี้อย่างไร จึงจะถูกต้อง และเป็นไปเพื่อความสงบสันติสุขทั้งกับตนเองและผู้อื่น
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/mourning-monkey2-696x464-1.jpg)
สมดังคำแผ่เมตตาที่ว่า “สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกภัยทั้งสิ้นเถิด”
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/output-onlinejpgtools-3-768x408-1.jpg)
จะพิจารณาเห็นได้ว่า บทแผ่เมตตานี้ กระตุ้นเตือนให้เราเห็นว่า ทุกชีวิตที่เกิดมา ล้วนแล้วแต่ต้องได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจด้วยกันทั้งนั้น
ทำไมต้องยัดเยียดความทุกข์ให้แก่กันเพิ่มเติมอีกเล่า
ลำพังตัวเราเองก็มีความทุกข์อยู่แล้ว เพื่อนร่วมโลกของเรา เขาก็มีความทุกข์อันเป็นส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว
คำถามคือ “เหตุใด เราจึงต้องยัดเยียดทุกข์ให้กับคนอื่นที่เขาก็มีทุกข์มากพออยู่แล้ว เพื่อให้เขาต้องมีความทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก”
ซึ่งนอกจากเขาจะได้รับความทุกข์จากการกระทำและคำพูดของเราแล้ว ตัวเราเองก็ใช่ว่าจะมีความสุข จากการโยนความทุกข์ให้ผู้อื่นเสียเมื่อไหร่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้เกิดขึ้นทั้งกับร่างกายและจิตใจของกันและกันทั้งสิ้นดังนั้น
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/997766-img.s5bd43.176iv.jpg)
เมื่อพิจารณาเห็นแล้วว่า ตัวเราเองก็ชอบความสุขความสบาย และไม่ต้องการให้ชีวิตต้องมีความทุกข์แม้แต่เพียงเล็กน้อย ฉันใด ชีวิตของผู้อื่นก็ชอบความสุข ความสบาย และไม่ต้องการให้ชีวิตของเขามีความทุกข์เช่นเดียวกัน ฉันนั้น
ดังนั้น เราจึงควรตระหนักและสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ว่า เมื่อคิดจะทำอะไรอันอาจส่งผลหรือก่อให้เกิดผลกระทบกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม ให้เรารู้จักคิด “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา”
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/0e3151f84323eebae8e4fa056c98a4e6.jpg)
เอาใจเขา มาใส่ใจเรา
“เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” เป็นคำพูดพื้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยน้ำหนัก และคุณค่ามหาศาล ควรค่าแก่การน้อมนำเอามาเป็นธรรมะประดับจิตของเราให้งดงามและงอกเงย ควรแก่การยอมรับนับถือว่าเป็นกัลยาณชน
“เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” เป็นทางมาแห่งสันติภาพ เป็นทางมาแห่งความสุขของสังคมโลก
“เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ทำให้คนเรายับยั้งการกระทำ หรือยั้งคิดได้ ก่อนที่จะใช้กิริยาหรือวาจาใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และส่งผลไม่ดีต่อจิตใจของผู้อื่น
“เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ว่า การกระทำหรือคำพูดใดๆ ที่สร้างสรรค์และก่อให้เกิดผลดีและเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ผู้อื่น การกระทำและคำพูดนั้นๆ เราควรแสดงออกหรือเอื้อนเอ่ยออกไป เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ก่อให้เกิดความรักใคร่ กลมเกลียวของสังคมโลก
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/85CF7EA83FA148B1A891093769C508C1-1024x683.jpg)
อัตตานัง อุปะมัง กะเร – ใจเขาใจเรา
พระพุทธองค์ตรัสสอนเป็นพุทธศาสนสุภาษิต อันควรค่าแก่การน้อมนำรำลึกมาไว้ในจิตในใจของเราท่านทุกคนว่า“อัตตานัง อุปะมัง กะเร”พึงกระทำตนเองให้เป็นเครื่องเปรียบ (ตัวอย่าง)
ความหมายของพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ แปลเอาความหรือเนื้อหาสาระได้ว่า “ควรทำตัวเองให้เป็นเครื่องเปรียบ” ว่า “เราไม่ชอบความทุกข์ทนทรมานทางกายและทางใจเช่นใด คนอื่นเช่นเดียวกัน”
และมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า “เราปรารถนาสิ่งที่เป็นความสุขทั้งทางกายและทางใจ คนอื่นก็ชอบเช่นเดียวกันกับเรา”
หรือแปลความหมายให้ตรงกับคำพังเพยของไทยว่า “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ก็จะเข้ากับบริบทหรือความเข้าใจของคนไทยได้อย่างลึกซึ้งและกินใจมากกว่า
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/ปลอบใจ-1024x683.jpg)
พุทธศาสนสุภาษิตของกระทรวงสาธารณสุข
พุทธศาสนสุภาษิตนี้ เป็นพุทธศาสนสุภาษิตประจำกระทรวงสาธารณสุขของไทย เพราะอาชีพของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีภาระหน้าที่หลักคือการรักษาอาการความทุกข์ทางร่างกาย และทางจิตใจของคนไข้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความเข้าใจคนไข้ เพื่อให้การรักษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผล ไม่กระทบกระเทือนทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของคนไข้
ตัวอย่างเช่น ในเวลาฉีดยา เจาะเลือด สอดใส่สายยางช่วยหายใจ ช่วยระบายขับถ่ายของเสียในร่างกาย หรือสายยางลำเลียงอาหารอ่อนเข้าสู่ร่างกายแทนระบบทางเดินอาหารตามปกติ การผ่าตัด การให้ยาแก่คนไข้ ต้องทำด้วยความระมัดระวังและพิถีพิถันอย่างที่สุด
เพราะเพียงแค่คนไข้ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บไข้นั้นก็ถือว่าหนักเอาการอยู่แล้ว ไหนเลยจะต้องมาทนทุกข์ทรมานกับการที่ต้องให้แพทย์และพยาบาลใช้วิธีการรักษา หรือการใช้เครื่องมือแพทย์มาใช้ในการรักษา แบบไม่เอาใจเขามาใส่ใจเราอีก
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/BLUE0853-1024x6831-1.jpg)
คิดถึงใจคนไข้ด้วย
ต้องไม่ลืมว่า ทุกครั้งที่บุคลากรทางการแพทย์จะรักษาคนไข้ หรือใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มาใช้สอดใส่เข้าไปในร่างกายของคนไข้ ต้องทำอย่างพิถีพิถัน ระมัดระวังทุกขั้นตอน ไม่ทำแบบรีบๆ เร่งๆ เร็วๆ รัวๆ ด้วยความรู้สึกเอาตนเองเป็นที่ตั้ง อย่างขาดความใส่ใจ
ควรระลึกเสมอว่า หากตัวเราเองหรือบุคคลที่เรารักมากๆ เช่น บิดา มารดา บุตร ธิดา สามี ภรรยาของเราเป็นคนไข้และต้องมารับการรักษา เราจะต้องเข้าใจ พิถีพิถัน และใส่ใจพวกเค้ามากเพียงไร กับคนไข้คนอื่นๆ ก็คงจะไม่ต่างกัน
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/9fa1159982.png)
เพราะถึงพวกเขาไม่ได้เป็นคนที่มีความสัมพันธ์โดยส่วนตัวกับเราในทางใดทางหนึ่ง แต่พวกเขาก็เป็นคนที่มีคนรัก และครอบครัวต้องการให้พวกเขานั้นได้รับการรักษาและหายขาดจากอาการของโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่อย่างแน่นอนไม่ต่างกัน และคิดคาดหวังลึกๆ ในใจว่า คุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำการรักษาให้นั้น จะคิด “เอาใจเขามาใส่ใจเรา”
ในกระบวนการรักษาคนไข้ทุกๆ รายจะกล่าวถึงการอยู่ร่วมกันของคนในทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกันในฐานะคนรู้จักกัน เพื่อนกัน ระบบผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาก็เช่นเดียวกัน ต้องรู้จัก “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/1436786065-1024x683.jpg)
เจ้านายเข้าใจลูกน้อง
เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาก็ต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะบางครั้ง ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจไม่มีความรู้ความเข้าใจ หรือเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนในสิ่งที่บังคับสั่งการ ก็อาจทำให้ผลการปฏิบัติออกมาไม่ถูกต้อง หรือตรงกับความมุ่งหมายของผู้บังคับบัญชา หรือการบังคับสั่งการบางอย่าง อาจเกินวิสัยที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำได้
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/shutterstock_673012483-1024x675-1.jpg)
กรณีอย่างนี้ ก็ต้องเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจว่า บางที คนที่ผิดพลาดแท้จริงอาจไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาก็เป็นได้ อาจจะเป็นเพราะผู้บังคับบัญชาเองไม่ได้ “เลือกใช้คน ให้ถูกกับงาน” หรือไม่ได้ “Put the right man in the right job” ก็เลยทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีผลงานออกมา หรือมีผลงานออกมาในแบบที่ไม่มีคุณภาพ และไม่ตรงตามที่มุ่งหมายที่ประสงค์จะให้เป็น
เจ้านายที่ดี จึงควรมีลักษณะที่ต้องเข้าใจลูกน้อง ว่าลูกน้องของเราเด่นด้านไหน ด้อยด้านใด ไม่ได้เรื่องในเรื่องใดบ้าง ก็เลือกที่จะวิเคราะห์และเลือกใช้งานเขาให้ตรงกับความสามารถและความถนัดของเขา อย่างนี้จึงจะได้ผลงานจากเขา ตามศักยภาพที่เขามีและสามารถที่จะสนองงานได้ของเขาในการอยู่ร่วมกัน
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/krungsri-academy-stop-being-bossy-banner.jpg)
บางครั้งลูกน้องเจ็บไข้ได้ป่วย มีความจำเป็นต้องขาดงาน ต้องลางานบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลยพินิจของเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาว่า ลูกน้องมีเหตุผลความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน อย่างไร หากมีความจำเป็นเร่งด่วน หรือมีความสำคัญมาก ผู้บังคับบัญชาก็ควรอนุญาตให้ลาป่วย-ลากิจได้ ให้ไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ ซึ่งก็แล้วแต่กรณีไป
ในกรณีลูกน้องป่วย ไม่สบาย มีไข้ขึ้น มีอาการบาดเจ็บอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะเล็กน้อย ก็ควรให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหาไม่แล้ว อาจจะมีอาการหนักขึ้นจนก่อให้เกิดการขยายตัวของโรคภัยหรืออาการทรุดหนักขึ้นจนยากแก่การรักษาได้
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/3c2d93f.jpg)
เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาก็ควร “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ว่า ถ้าหากเป็นตัวเราเอง หรือบุคคลที่เรารัก เช่น มารดาบิดา บุตรธิดา สามีหรือภรรยาของเรา เมื่อเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย ประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บอย่างนี้ เหตุผลความจำเป็นต่างๆ ก็คงจะพรั่งพรูออกมาจากความคิดความอ่านของเราในฉับพลันทันทีอย่างไร้เงื่อนไขข้อโต้แย้งมาหยุดรั้งอย่างแน่นอนว่า ต้องได้รับการรักษาเดี๋ยวนี้ หรือต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยทันที ไม่ควรปล่อยไว้นาน
นั่นเป็นเพราะว่าอะไร ? ตอบว่า นั่นก็เป็นเพราะว่า เรารักตัวของเราเองใช่หรือไม่ เรารักคนที่เป็นที่รักของเราเหล่านั้นใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ทำไม ??? เราจึงไม่เห็นใจผู้อื่น หรือผู้ที่เป็นลูกน้องของเราว่าจะต้องรู้สึกในแบบเดียวกันกับเราเช่นกันในการลากิจก็เช่นเดียวกัน
หากมีเหตุผลความจำเป็นอันเนื่องด้วยบิดามารดา บุตรธิดา สามีภรรยา หรือเนื่องด้วยครอบครัว ตลอดจนมรดกทรัพย์สินเงินทอง เทศกาลวันหยุดประจำปี วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือเมื่อถึงวงรอบวาระที่จะต้องได้ลาพักเพื่อเดินทางไปเยี่ยมบ้าน ก็ควรอนุญาตให้ลูกน้องได้หยุดตามสิทธิที่จะพึงมีพึงได้เช่นเดียวกัน
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/employee-boss.jpg)
เพราะเมื่อเอาความรู้สึกของเรามาจับ หรือเอาความรู้สึกของเรามาเปรียบเทียบ เมื่อถึงวันหยุดต่างๆ และวงรอบวาระที่จะต้องได้ลาพักตามสิทธิของเรา ตัวเราเองก็ยังอยากจะได้ลาพัก ได้ลาหยุดไปใช้ชีวิตกับครอบครัว กับคนที่เรารัก ได้ไปทำบุญร่วมกับชุมชน-สังคมอันเป็นภูมิลำเนาบ้านเกิด เพื่อได้พบปะญาติและคนที่เรารักใคร่หรือนับถือกัน ซึ่งชะเง้อชะแง้รอคอยการกลับไปของเรา ซึ่งมีผลมากๆ ทางด้านจิตใจ ถือว่าเป็นการอนุญาตให้ไปชาร์จพลังงานเพื่อมีกำลังในการกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในห้วงเวลาวันทำงานปกติ
หรือหากลูกน้องมีวาระเวรยามตรงกับวันหยุด เมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่จนคบกำหนดแล้ว ก็พึงปล่อยให้ลาหยุดได้ในทันที เพื่อชดเชยวันหยุดอันเป็นสิทธิของเขาได้โดยปราศจากเงื่อนไข เพราะอย่าลืมว่าต้องรู้จัก “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา”
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/Time_1.jpg)
การ “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” มีอานิสงส์หรือผลดีอย่างไร ? คำตอบก็คือ เป็นการไม่เบียดเบียนทำร้าย ยัดเยียดโยนความทุกข์ให้กับคนอื่น เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับทั้งสองฝ่ายคือทั้งกับตนเองและคนอื่นไปพร้อมๆ กัน มีความรักใคร่ นับถือ ให้เกียรติ ไม่ละเมิดสิทธิของกันและกัน สังคมเกิดสันติสุข เกิดความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน
ผู้ที่เป็นเจ้านายก็ย่อมได้รับความนับถือ ยกย่อง เทิดทูน บูชาจากลูกน้องอย่างบริสุทธิ์ใจ ฝ่ายลูกน้องก็ได้รับสิทธิอันตนจะพึงมีพึงได้ โดยปราศจากการเบียดบัง เบียดเบียน หรืออคติต่างๆ จากผู้ที่เป็นเจ้านาย
ทำให้มีกำลังใจ และเสริมแรงให้มีศักยภาพในการทำงานให้เจ้านายอย่างเต็มศักยภาพ มีความเคารพนับถือเจ้านายอย่างจริงใจ และอาสาเป็นธุระให้นายได้โดยไม่ต้องรอให้บังคับสั่งการ เรียกว่างานนี้เจ้านายได้ใจลูกน้องไปแบบเต็มๆ
![](https://www.praewprouds.com/wp-content/uploads/2021/01/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL2hvLzAvdWQvMzIvMTY0MzgxL3Rha2VjYXJlLmpwZw.jpg)
ขอเชิญทุกๆ ท่าน มาร่วมสำรวจตรวจสอบตัวเองว่า ที่ผ่านมา เราได้เคย “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” แค่ไหนอย่างไร เป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุกๆ ท่านครับ