pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

4 ขั้นบันไดของความสุข

เชื่อเหลือเกินว่า ตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ ยังจำความได้ เชื่อว่าทุกคนต้องเคยคิดเร่งเร้าวันคืนให้เวลาเดินให้เร็วๆ เพื่อที่จะให้ถึงวันที่เราเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ ได้ทำอะไรตามอย่างที่ใจเราอยากจะทำ เพราะมีความเชื่อมั่นว่า เพียงแค่เราโตขึ้น ก็จะสามารถผ่านข้อจำกัดอะไรต่างๆ ไปได้ สามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน มีอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครอีก ซึ่งเชื่อว่านั่นเป็นความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

วันเวลาได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ ค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะรีบเร่งอะไร มาถึงวันนี้ วันที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ อะไรๆ ที่เคยวาดฝันไว้ว่า วัยของผู้ใหญ่น่าจะทำได้ดีกว่าเด็กๆ และน่าจะเป็นวัยที่มีความสุขมากกว่าวัยเด็ก มีอิสระมากกว่าวัยเด็ก ความฝันนี้ก็คงกลายเป็นความฝันอยู่เช่นเดิม เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ มีอายุมากขึ้น จึงได้รู้ว่า ตัวเรานั้นยิ่งเดินห่างไกลออกมาจากความสุข และเดินห่างไกลออกมาจากความมีอิสระเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่แหละหนา…ที่พระท่านเคยตักเตือนให้ระวังความทะยานอยาก หรือความทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยากที่จะหมุนเวียนมาบรรจบพบกับคำว่า “เพียงพอ” ได้อย่างเด็ดขาดยากเย็น

หากจะว่ากันโดยเหตุผลและลำดับขั้นความทะยานอยาก หรือความทะเยอทะยานในชีวิตคนเราแล้ว สามารถระบุลำดับขั้นของความสุขที่คนเราเฝ้าปรารถนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตไว้ เปรียบเทียบกับบันได 4 ขั้น ดังนี้

1. สอบติด ไม่เจ๋งเท่ากับ เรียนจบ

2. เรียนจบ ไม่เท่เท่ากับ มีงานทำ

3. มีงานทำ ไม่เริ่ดเท่ากับ เงินเดือนดี

4. เงินเดือนดี ไม่มีประโยชน์ ถ้า…. ไม่มีความสุข

ทีนี้ เรามาลองพิเคราะห์ถึงรายละเอียดของบันไดแห่งความสุข 4 ขั้นที่ เราตั้งความปรารถนาไว้เป็นขึ้นๆ ดังนี้

1. สอบติด ไม่เจ๋งเท่ากับ เรียนจบ ย้อนวัยไปถึงวันที่เรากำลังเป็นเด็ก วัยที่ต้องศึกษาหาความรู้ ชีวิตก็เริ่มต้นด้วยการแข่งขันกับคนอื่นๆ ในวัยที่เรากำลังศึกษาเล่าเรียน ก็ตั้งเป้าหมายแห่งความสุขในชีวิตไว้ว่า เราจะต้องสอบติด สอบผ่าน ซึ่งอาจหมายรวมไปถึง การสอบเลื่อนชั้น การสอบได้ลำดับที่ดีๆ การสอบเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ การสอบชิงโควต้าไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาดังๆ การสอบชิงทุนการศึกษา การประกวดประขันเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการต่างๆ

เมื่อคนเราสมความปรารถนาในเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงเสียทีเดียว เพราะความปรารถนาของคนเราก็จะขยายขอบเขตต่อไปได้อีกเรื่อยๆ

บางคนมีความสามารถสอบได้ สอบติด เรียนดี เก่งกิจกรรมก็จริง แต่ถ้ายืนระยะไม่ได้ ทำไม่ได้อย่างต่อเนื่อง เจอปัญหาอุปสรรคในระหว่างเส้นทางการเรียน ก็อาจจะมีผลทำให้เรียนไม่จบได้เหมือนกัน ดังนั้น การสอบติด ก็ต้องยอมรับว่า มันยังไม่เจ๋งเท่ากับเรียนจบ นั่นเอง

2. เรียนจบ ไม่เท่เท่ากับ มีงานทำ การเรียนให้จบนับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อสำเร็จการศึกษาหรือเรียนจบออกมาแล้วจริงๆ บางคนก็กลับพบกับความว่างเปล่า เพราะยังต้องผ่านด่านหรือขั้นบันไดที่ต้องปีป่ายขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือการมีงานทำ

บางคนเรียนเก่ง เรียนดี หรืออยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้ จนสามารถรับใบปริญญาประกาศนียบัตรรับรองวุฒิการศึกษา หรือรับรองความรู้ความสามารถจากสถาบันการศึกษาที่จบมาก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะหางานทำได้ ซึ่งสาเหตุของการที่ไม่สามารถหางานได้ก็มีสาเหตุหลักๆ อยู่ 2 สาเหตุด้วยกัน นั่นก็คือ 1) หางานงานทำไม่ได้จริงๆ คือ ไปยื่นสมัครอยู่หลายๆ ที่ หลายๆ แห่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าทำงาน หรืออาจถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงาน และ 2) หางานทำได้แล้ว แต่งานที่ได้นั้น เป็นงานที่ไม่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตนเอง หรือตนเองไม่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งงาน หรือไม่ก็เป็นคนเลือกงาน จึงทำให้ตกงาน หรือไม่มีงานทำสักที

ดังนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแท้จริง ในขั้นนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่คนที่เรียนจบมีวุฒิการศึกษาดีๆ มาจากสถาบันการศึกษาดีๆ เท่านั้น แต่หมายถึงการมีงานทำด้วย ถึงจะนับว่าประสบความสำเร็จ

3. มีงานทำ ไม่เริ่ดเท่ากับ เงินเดือนดี ถึงแม้ว่าคนเราจะมีการศึกษาดี จบการศึกษาออกมาแล้วมีงานทำ หรือได้งานทำแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถจะบ่งบอกได้ว่าคนๆ นั้น ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่างาน ก็ย่อมจำแนกแจกแจงประเภทของงานออกเป็นมากมายหลากหลายประเภท และที่สำคัญ เกณฑ์ที่จะวัดความสำเร็จของคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานก็คือ รายได้ หรือค่าตอบแทนที่ได้จากการทำงานนั้นๆ ด้วย

หากจะกล่าวโดยเนื้อหาสาระแล้ว ก็สามาถจำแนกประเภทของงานที่นับได้ว่า เป็นงานที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่ 2 เกณฑ์ด้วยกันก็คือ 1) งานเบา คืองานที่ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงหรือพละกำลังทางกายมากมาย หรือไม่ต้องใช้เวลามาก ไม่ต้องลำบากตรากตรำทางกาย หรือใช้พลังความคิดสติปัญญาที่มากมายเกินไป และ 2) งานที่มีค่าตอบแทนที่ดีกว่า เพราะบางคนทำงานหนัก ใช้พลังกาย พลังสติปัญญา พลังความทุ่มเทเสียสละ และใช้เวลามากกว่า แต่กลับได้รับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องทุ่มเทเสียสละไป ซึ่งเมื่อเทียบกับอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานที่สบายกว่า ใช้กำลังกายน้อยกว่า ใช้กำลังสติปัญญาน้อยกว่า ใช้พลังแห่งความทุ่มเทเสียสละน้อยกว่า แต่กลับได้ค่าตอบแทนมากกว่า อย่างนี้เรียกว่า “เงินเดือนดี” ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของคนทำงาน

4. เงินเดือนดี ไม่มีประโยชน์ ถ้า…. ไม่มีความสุข ถึงแม้ว่าบันไดแห่งความทะยานอยากของเราจะเดินมาถึงขั้น มีการศึกษา มีงานทำ มีเงินมีทอง มีความเป็นอยู่ที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม ก็ยังไม่ใช่เครื่องชี้วัดความสำเร็จในชีวิตอยู่ดี เพราะเกณฑ์ที่จะชี้วัดความสำเร็จของชีวิตที่แท้จริงของชีวิตคนเราอยู่ที่ “ความสุข” หมายถึง ความสบายใจ ความรู้สึกอิสระ ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ความรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การตื่นจากความลุ่มหลงมัวเมา และความเบิกบานที่เกิดจากความหลุดพ้นจากสิ่งรัดรึงพันธนาการต่างๆ ที่เป็นตัวมาขัดใจ ทำให้ไม่เป็นไปได้ดั่งที่ใจอยากให้เป็น มาทำให้ใจของเราติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ทนทรมาน

ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเก่งกาจอาจหาญมากจากไหน จะเรียนจบสูงส่งระดับใด มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเพียงใด มีรายได้ค่าตอบแทนที่สูงมากแค่ไหน แต่ถ้ายังหาความสุข ความอิสระ ความรู้ปลอดโปร่งเบิกบานใจให้กับตัวเองไม่ได้ ก็ไม่อาจจะเรียกคนๆ นั้นได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้เลย….

นี่คือ 4 ขั้นบันไดของความสุข ที่ทุกคนต้องไขว่คว้าหามันให้เจอ และสามารถเลือกได้ว่า จะก้าวขึ้นสู่บันไดตามสเต็ปทีละขั้นอย่างมั่นคง จะยึดติดอยู่กับบันไดขั้นใดขั้นหนึ่ง หรือจะก้าวกระโดดเข้าไปสู่บันไดขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นบันไดขั้นสูงที่สุดในชีวิต ซึ่งยากที่ใครๆ จะสามารถปีนป่ายไปถึงได้ เพราะนั่นหมายถึงความสุขที่เป็นยอดปรารถนา ซึ่งเราทุกคนควรพยายามปีนป่าย ทะยานอยาก ทะเยอทะยาน เพื่อให้สามารถลุถึงความสุขอิสระแห่งใจอันเป็นบรมสุขอย่างแท้จริง…

ใส่ความเห็น