pin up1 winaviator mostbetpinup casino1 winmostbet kzmosbet casinoaviatorlucky jet1 winpin up casino india1win slotlucky jet casinopinup az4r betmosbet indiamosbet aviatormostbet casino1win kz1 win4rabet indiapin-up kzmosbetmosbet1 win1win1win aviatorpin upparimatchlucky jet4rabetмостбет1win loginpin up 777mostbet1 вин авиаторpin uplucky jet1 winpin up4rabetpinupmosbet1 winmostbet azluckygetmostbetmosbetmostbet casino1wınparimatch

มัฏฐกุณฑลีมาณพ

เศรษฐีขี้เหนียว

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ได้มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถูกชาวบ้านชาวเมืองตั้งฉายาเรียกว่า “อทินนปุพพกะ” แปลว่า “พราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย” ซึ่งหมายความว่า พราหมณ์คนนี้เป็นคนขี้งกขี้เหนียวเอามากๆ

พราหมณ์คนนี้มีลูกชายผู้เป็นแก้วตาดวงใจ 1 คน ต่อมามีความคิดว่าอยากจะทำเครื่องประดับมอบให้ลูกชายสักชิ้นหนึ่ง จึงคิดต่อไปว่า ถ้าเราจะจ้างช่างทองมาทำให้ก็จะต้องเสียค่าแรงค่าฝีมือให้ช่าง จึงตัดสินใจเอาทองคำมาแผ่แล้วทำเป็นตุ้มหูเกลี้ยงๆ ไม่มีลวดลายใดๆ ให้ลูกชายได้ประดับ ชาวบ้านจึงเรียกขานชื่อลูกชายของพราหมณ์นั้นว่า “มัฏฐกุณฑลี” แปลว่า “ตุ้มหูเกลี้ยง” คือ  “ไม่มีลวดลายใดๆ”

ต่อมาเมื่อลูกชายมีอายุย่างเข้า 16 ปี ก็เจ็บป่วยด้วยโรคผอมเหลือง ภรรยาของพราหมณ์นั้นปรึกษากับสามีว่า ลูกชายของท่านเป็นโรคร้าย ขอให้ท่านติดต่อให้หมอมารักษาลูกชายให้หายป่วยด้วยเถิด พราหมณ์

พราหมณ์ตอบภรรยาไปว่า ถ้าเธอจะให้ฉันหาหมอมารักษาลูกชาย เราก็จะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้หมอไป เธอนี่ช่างไม่ยอมคิดถึงความสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองของเราบ้างเลย เมื่อภรรยาถามว่า ก็แล้วท่านจะให้ฉันทำยังไงล่ะ พราหมณ์จึงตอบว่า ทำวิธีการไหนก็ได้ที่เราจะไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้หมอ

พราหมณ์จึงไปหาหมอแล้วถามหมอว่า ท่านรักษาโรคนี้ ด้วยการให้ยาขนานไหน เมื่อเป็นเช่นนั้น หมอจึงได้บอกยารักษาโรคแก่เขา เมื่อทราบตัวยาตามที่หมอบอกแล้ว เขาก็ไปหารากไม้ต่างๆ ตามที่หมอแนะนำแล้วนำมาปรุงยารักษาลูกชาย เมื่อพราหมณ์รักษาลูกชายด้วยวิธีการนั้น แทนที่โรคของลูกชายจะหาย กลับลุกลามทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถจะเยียวยารักษาให้หายได้อีก

เมื่อพราหมณ์รู้ว่าลูกชายต้องพิการเพราะโรคเสียแล้ว จึงมาหาหมออีกคนหนึ่งมารักษา  หมอคนนั้นมาตรวจดูอาการแล้ว คิดในใจว่าคงจะรักษาไม่หายอย่างแน่นอน จึงพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า ผมติดธุระอย่างหนึ่งอยู่พอดี ยังไงขอให้ท่านติดต่อหมอคนอื่นมาให้การรักษาเถิด พูดตัดบทแล้วก็เดินจากไป

ลูกจะตายแล้วยังหวงทรัพย์สิน

พราหมณ์รู้ว่าลูกชายใกล้จะตายแล้ว ก็คิดหวาดระแวงหนักขึ้นไปอีกว่า คนที่มาเยี่ยมลูกชายของเรานี้ จะต้องมาเห็นทรัพย์สินเงินทองในบ้านของเรา เราจะเคลื่อนย้ายลูกชายให้มานอนข้างนอกบ้านดีกว่า จึงเอาลูกชายออกมาให้นอนที่ระเบียงนอกบ้าน

มัฏฐกุณฑลีเข้าไปในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้า

ในเวลาเช้ามืดวันนั้น พระพุทธองค์เสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อจะได้ทอดพระเนตรเห็นเวไนยสัตว์ผู้ที่พระองค์จะเทศน์โปรดได้ ผู้สร้างกุศลไว้เพียบพร้อมและได้ตั้งความปรารถนาไว้ตั้งแต่ยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ทรงแผ่ข่ายพระญาณไปในหมื่นจักรวาล ปรากฏว่า มัฏฐกุณฑลีมาณพซึ่งกำลังนอนอยู่ที่ระเบียงนอกบ้านนั้น เข้ามาปรากฏในข่ายพระญาณของพระองค์

พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงทราบได้ในทันทีว่า บิดาได้ย้ายเขาออกจากเรือนให้มานอนที่ระเบียงนอกบ้านนั้น จึงทรงดำริว่า หากว่าพระองค์จะเสด็จไป ณ ที่นั้น จะมีประโยชน์อย่างไรเกิดขึ้นบ้าง

ขณะนั้นก็ทรงเห็นเหตุนี้ว่า มาณพนั้นจะตั้งจิตให้เลื่อมใสในเรา ตายไปแล้วจะได้เกิดในวิมานทองสูง 30 โยชน์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร 1,000 นาง  

ส่วนพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของเขา เมื่อเผาศพลูกชายแล้วก็จะเดินร้องไห้ในป่าช้า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พิจารณาอัตภาพของตนที่สูงประมาณ 3 คาวุต (300 เส้น)  ประดับด้วยเครื่องประดับหนัก 60 เล่มเกวียน มีนางฟ้า 1,000 นางคอยห้อมล้อม จึงคิดว่า เราเคยได้ทำกรรมอะไรไว้บ้างหนอ จึงทำให้เราได้สมบัติใหญ่ถึงขนาดนี้

พิจารณาไปก็รู้ได้ทันทีว่า ที่ตนเองได้สมบัติใหญ่ขนาดนี้ก็เพราะมีจิตเลื่อมใสในเรา แล้วคิดต่อไปอีกว่า พ่อไม่ยอมหาหมอมารักษาเราเพราะกลัวจะหมดเปลืองทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้เข้าไปร้องไห้คร่ำครวญในป่าช้า คอยดูนะ เราจะไปกลั่นแกล้งบิดานั้น 

ด้วยความขัดเคืองในตัวพ่อ ก็จะจำแลงกายเป็นมัฏฐกุณฑลีมาณพ ทำเป็นแกล้งมาร้องไห้อยู่ในบริเวณป่าช้านั่นเอง

เมื่อพราหมณ์เห็นแล้วก็จะถามเขาว่า ท่านเป็นใคร เขาก็จะตอบว่า เขาคือมัฏฐกุณฑลีมาณพซึ่งเป็นลูกชายของท่าน

เมื่อบิดาถามเขาว่า ก็ท่านไปเกิดอยู่ที่ไหน เทพบุตรนั้นก็จะตอบว่า เกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พราหมณ์ก็จะถามต่อไปว่า ท่านได้ไปเกิดบนสรรค์ชั้นดาวดึงส์เพราะประกอบกรรมดีอะไรไว้เล่า

เขาก็จะตอบว่า ที่เขาได้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เพราะจิตที่เลื่อมใสในเรา 

ต่อจากนั้น พราหมณ์นั้นก็จะมาตั้งคำถามกับเราว่า ขึ้นชื่อว่าคนที่เพียงทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์เท่านั้นแล้ว ไปเกิดในสวรรค์มีอยู่หรือไม่

ถึงตอนนั้น เราก็จะตอบว่า  ไม่มีใครที่จะตอบได้ว่าคนที่เพียงตั้งจิตให้เลื่อมใสในเราแล้วได้เกิดอยู่ในสวรรค์มีจำนวนกี่ร้อย กี่พัน หรือกี่แสนคน

หลังจากนั้นเราก็จะกล่าวคาถาในธรรมบท ในเวลาจบคาถา จะมีคนได้ตรัสรู้ธรรมถึง 84,000 คน มัฏฐกุณฑลีมาณพจะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และอทินนปุพพกพราหมณ์ก็จะได้เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน เพราะอาศัยกุลบุตรผู้นี้จะมีการบูชาธรรมเป็นจำนวนมากต่อมากเลยทีเดียว

เสด็จไปโปรดมัฏฐกุณฑลีมาณพ

ในวันรุ่งขึ้น ทรงกระทำสรีรกิจเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี และได้ลุถึงประตูเรือนของพราหมณ์โดยลำดับ

ในขณะนั้น มัฏฐกุณฑลีมาณพกำลังนอนหันหน้าเข้าไปหาตัวบ้าน พระพุทธองค์เองก็ทรงทราบว่ามัฏฐกุณฑลีมาณพนั้นมองไม่เห็นพระองค์ จึงทรงเปล่งพระรัศมีเป็นแสงสว่างให้มาณพนั้นได้เห็น

มาณพนั้นคิดว่า นี่มันแสงอะไรมาจากไหนหนอ จึงพลิกหลังกลับมามองดู เห็นพระพุทธองค์แล้ว จึงคิดว่า เราอาศัยพ่อผู้เป็นคนเขลาจึงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ผู้ทรงมีพุทธลักษณะงดงามเช่นนี้ แล้วจะได้ทำการขวนขวายด้วยกาย ถวายทาน หรือฟังธรรมจากพระองค์

ตอนนี้ แม้แต่มือทั้งสองข้างของเรา เราก็ยังยกขึ้นไม่ไหว จะสามารถทำอะไรได้เล่า  เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จึงทำได้แค่เพียงทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์เท่านั้นเอง

พระพุทธองค์ทรงดำริว่า เพียงแค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ สำหรับมาณพที่ทำใจให้เลื่อมใสในเรา จึงเสด็จจากไปแล้ว

มัฏฐกุณฑลีมานพตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พอพระพุทธองค์เสด็จลับตาไปเท่านั้น มัฏฐกุณฑลีมาณพก็ได้ตายไปพร้อมกับจิตที่เลื่อมใสในพระพุทธองค์ เป็นเสมือนหนึ่งว่าหลับแล้วและตื่นขึ้นมาอีก ปรากฏว่าตนได้ไปเกิดในวิมานทองสูงประมาณ 30 โยชน์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พราหมณ์เศร้าโศกเพราะคิดถึงลูกชายที่เสียชีวิต

ส่วนพราหมณ์ผู้เป็นบิดา เมื่อเผาศพลูกชายเสร็จแล้ว ก็ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ เข้าไปในป่าช้าทุกวัน ร้องไห้และบ่นเพ้อรำพันว่า เจ้าลูกชายคนเดียวของพ่อ ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนๆ

แม้เทพบุตรพิจารณาดูสมบัติที่ตนได้แล้ว คิดว่าสมบัตินี้เราได้เพราะทำกรรมดีอะไรหนอ ก็รู้ได้ทันทีว่า ได้สมบัตินี้ด้วยใจที่เลื่อมใสในพระพุทธองค์ คิดต่อไปอีกว่า พราหมณ์ผู้นี้ ในเวลาที่เราไม่สบาย ไม่ยอมหาหมอมารักษาให้เรา ตอนนี้มาทำเป็นร้องไห้อยู่ในป่าช้า เดี๋ยวเราจะแกล้งพราหมณ์นี้ดู  จึงจำแลงกายเป็นมัฏฐกุณฑลีมาณพมากอดแขนยืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ ป่าช้า               

พราหมณ์เห็นเทพบุตรจำแลงนั้นแล้ว  จึงคิดว่า “เราร้องไห้เพราะความเศร้าโศกถึงลูกชาย ก็มาณพคนนั้น มายืนร้องไห้อยู่เพราะเหตุอะไร จึงเข้าไปถามดู เมื่อเข้าไปถามก็กล่าวว่า ท่านมาร้องไห้เพราะเหตุอะไรกัน ท่านมีความปรารถนาสิ่งใดหรือ ท่านจงหยุดร้องไห้เถิด เราจะทำล้อรถทองคำให้แก่ท่าน

มัฏฐกุณฑลีมาณพแกล้งบิดาของตน

พอมาณพได้ฟังคำนั้น ก็คิดว่า “พราหมณ์คนนี้ ไม่ยอมทำยารักษาให้เราเลย เมื่อมาเห็นเรารูปร่างคล้ายลูกชายของตนร้องไห้อยู่ กลับพูดว่า เราจะทำล้อรถทองคำให้  เอาล่ะ เราจกลั่นแกล้งพราหมณ์นี้เล่นสักหน่อย จึงกล่าวว่า “ท่านจะทำล้อรถทองคำให้เราได้ใหญ่แค่ไหนกัน

เมื่อพราหมณ์นั้นกล่าวว่า ใหญ่เท่าที่ท่านต้องการ จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการล้อรถทองคำมีขนาดใหญ่เท่ากับขนาดของพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท่านจะสามารถทำให้ได้ไหมเล่า 

พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า ท่านอยากได้ของที่ไม่น่าอยากได้เลย ทำไมช่างโง่เขลาเช่นนี้ ถ้าหากว่าท่านอยากจะได้ล้อรถทองคำคู่ขนาดเท่าพระจันทร์และพระอาทิตย์จริงๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าท่านจะตายเสียก่อนจะได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองอย่างนั้นเสียอีก

เมื่อเป็นเช่นนั้น มาณพจำแลงจึงได้กล่าวกับพราหมณ์นั้นว่า ระหว่างคนที่ร้องไห้เพราะต้องการของซึ่งยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้าจริงๆ กับคนที่ร้องให้เพราะอยากได้ของที่ไม่ได้มีอยู่จริงตรงหน้าเลย สองคนนี้ ใครเล่าที่โง่เขลากว่ากัน

พราหมณ์ยอมจำนวนด้วยเหตุผลของมัฏฐกุณฑลีมาณพแล้วได้ปัญญา

พราหมณ์นั้นจึงยอมแพ้ต่อเหตุผลของเทพบุตรจำแลงนั้น จึงถามต่อไปว่า ก็ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้จึงได้เกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ เทพบุตรจำลงก็ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่พราหมณ์นั้น ขณะที่เทพบุตรจำแลงกำลังเล่าให้พราหมณ์นั้นฟังอยู่ ก็ปรากฏว่า กายของพราหมณ์นั้นก็เอิบอิ่มไปด้วยปีติขึ้นมาทันที  

ก่อนที่เทพบุตรจำแลงนั้นจะจากไป ก็ได้สั่งเสียแก่พราหมณ์นั้นให้รับคำทำตามว่า จากนี้ไป ท่านจงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม กับทั้งพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งของท่านตลอดชีวิต จงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสตั้งใจสมาทานศีล 5 อย่าให้ขาด ควรเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักขโมยถือเอาสิ่งของมีเจ้าของ จงอย่าดื่มน้ำเมา อย่าพูดปดมดเท็จ และไม่นอกใจภรรยาของตน ทรัพย์สินในเรือนของท่านก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วถวายทาน ฟังธรรม และถามปัญหาเถิด   

เมื่อเทพบุตรได้สั่งสอนพราหมณ์จบลงแล้วก็ได้หายตัวไปในทันที

พราหมณ์นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยหมู่พระภิกษุสงฆ์ทำภัตกิจในเรือนของตน

ต่อจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พราหมณ์กลับไปที่บ้านแล้วก็เรียกภรรยามาสั่งการว่า “ฉันจะนิมนต์พระสมณโคดมมาถามปัญหา  เธอจงจัดเตรียมเครื่องสักการะและเตรียมการอื่นๆ ให้พร้อมเถิด แล้วก็เดินทางไปสู่วิหาร ไม่ได้ถวายบังคมพระพุทธองค์เลย อีกทั้งไม่ยอมทำปฏิสันถารใดๆ  ยืนอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งแล้ว

กราบทูลว่า พระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์และพระภิกษุสงฆ์ จงทรงรับนิมนต์ฉันภัตตาหารที่เรือนของข้าพเจ้าในวันนี้ด้วยเถิด” พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว เมื่อเขาทราบว่า พระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์แล้วแล้ว จึงรีบกลับมาสั่งให้คนใช้ตระเตรียมภัตตาหารไว้ให้พร้อมสรรพ  

พระพุทธองค์มีหมู่พระภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมแล้ว ได้เสด็จไปที่บ้านของพราหมณ์นั้น ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ พราหมณ์ก็ได้ประเคนภัตตาหารแล้ว

ชาวบ้านเมื่อทราบข่าวแล้ว ต่างก็สนใจติดตามข่าวคอยดูอยู่อย่างใกล้ชิด

ฝ่ายพวกชาวบ้านร้านตลาดเมื่อได้ยินว่า พราหมณ์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิทูลนิมนต์พระพุทธองค์มาแล้ว คน 2 จำพวกก็จะมารวมตัวกัน  คือพวกชนผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มารวมตัวกันด้วยตั้งใจว่า “วันนี้ พวกเราจะคอยดูพระสมณโคดมถูกพราหมณ์เบียดเบียนด้วยการดีเบตถามปัญหา  ส่วนพวกคนที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็จะนัดหมายมาเจอกันด้วยตั้งใจว่า วันนี้ พวกเราจะคอยดูพระพุทธวิสัยและพระพุทธลีลา

พราหมณ์ทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า

เมื่อพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทูลถามปัญหาว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่า คนที่ไม่ได้ถวายทานแก่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้รักษาอุโบสถเลย แล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยเหตุเพียงแค่ว่าทำใจเลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียวเท่านั้น มีอยู่บ้างหรือไม่

พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาแก่พราหมณ์

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เหตุใดท่านจึงมาถามเราเล่า พราหมณ์  มัฏฐกุณฑลีผู้เป็นบุตรชายของท่านได้บอกการที่ตนได้ทำใจให้เลื่อมใสในเราแล้วไปเกิดในสวรรค์แก่ท่านด้วยตัวเองแล้วมิใช่หรือ  พราหมณ์จึงทูลถามต่อไปว่า “บอกเมื่อไหร่เล่า พระโคดมผู้เจริญ”  เมื่อพระศาสดาตรัสตอบว่า “ก็ในวันนี้ ท่านเข้าไปในป่าช้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เห็นมาณพคนหนึ่งร้องไห้อยู่ในที่ใกล้กันนั้น จึงได้สนทนากันแล้วมิใช่หรือ”

ก็เมื่อพระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องมัฏฐกุณฑลีนั้นอยู่ จึงตรัสว่า “ใช่ว่าจะมีแต่ร้อยหรือสองร้อยคนเท่านั้นนะ พราหมณ์  ความจริงแล้ว การที่จะนับผู้ที่ทำใจให้เลื่อมใสในเราแล้วเกิดในสวรรค์ย่อมไม่มีเลย”

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรปรากฏตัว

พวกชาวบ้านร้านตลาดได้เกิดความสงสัยกันแล้ว พระพุทธองค์ทรงทราบว่ามีคนที่ยังเกิดความสงสัยอยู่ จึงทรงอธิษฐานว่า ขอให้กุณฑลีเทพบุตรจงมาปรากฏ ณ ที่นี้พร้อมกับวิมานเลยทีเดียว เทพบุตรนั้นมาแล้วด้วยอัตภาพซึ่งประดับแล้วด้วยเครื่องประดับทิพย์ สูงประมาณ 3 คาวุต ลงมาจากวิมาน ถวายบังคมพระพุทธองค์แล้วได้ยืน ณ ที่แห่งหนึ่ง

พระพุทธองค์จึงได้ตรัสถามว่า “ท่านทำกรรมสิ่งใดไว้จึงทำให้ได้สมบัตินี้” เทพบุตรจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สมบัตินี้ก็เพราะทำใจให้เลื่อมใสในพระองค์” เมื่อถูกพระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปอีกว่า “เธอได้สมบัตินี้เพราะทำใจให้เลื่อมใสในเราใช่หรือไม่” จึงกราบทูลรับรองว่า “ความจริงเป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า”

ผู้คนได้พากันมองดูอัตภาพของเทพบุตรนั้นแล้ว จึงประกาศความยินดีว่า “โอ้หนอ พ่อคุณ พระพุทธคุณน่าอัศจรรย์จริงหนอ บุตรของพราหมณ์ ชื่ออทินนปุพพกะ ไม่ได้ทำบุญอะไรๆ อย่างอื่นเลย เพียงแค่ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์เท่านั้น กลับได้สมบัติมากมายถึงเพียงนี้”

พระพุทธเจ้าตรัสสอนธรรม

พระพุทธองค์ได้ตรัสต่อไปว่า “สำหรับการทำกรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลก็ตาม ก็มีใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นใหญ่ เพราะว่า กรรมที่คนเราทำด้วยใจอันผ่องใสแล้ว ย่อมไม่ทอดทิ้งคนที่ไปสู่เทวโลกและมนุษยโลก ประดุจเงาติดตามตัวไปฉะนั้น

ครั้นตรัสเรื่องนี้จบลงแล้ว พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นพระธรรมราชาได้ตรัสพระคาถานี้เพื่อสืบต่ออนุสนธิ ประหนึ่งว่าทรงประทับตราพระราชลัญจกรว่า

“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่

สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว

พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา

เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาติดตามตัวไปฉะนั้น”

เวไนยสัตว์ได้บรรลุธรรม

ในเวลาที่ตรัสพระคาถานี้จบลง เวไนยสัตว์จำวน 84,000 คน ก็ได้บรรลุธรรม  ฝ่ายมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  อทินนปุพพกพราหมณ์ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกัน ในกาลต่อมา เขาได้หว่านทรัพย์สมบัติมากมายถึงเพียงนั้นลงไว้ในพระพุทธศาสนา

เรื่องมัฏฐกุณฑลีนี้ เป็นตัวอย่างให้คนที่เกิดความท้อแท้ในชีวิต เกิดความท้อแท้ในการทำความดี ได้มีกำลังใจในการทำความดีต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

เพราะตัวละครเอกในนิทานธรรมบทเรื่องนี้ คือ มัฏฐกุณฑลี แม้ว่าร่างกายของตนนั้นจะพิการ ไม่สามารถทำได้แม้แต่กระทั่งการยกมือขึ้นไหว้พระพุทธองค์ แต่ก็ได้ใช้ดวงตามองเห็นพระพุทธองค์และใช้ใจตั้งมั่นเลื่อมใสในพระพุทธองค์

ในที่สุดแล้ว ก็ได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่เลื่อมใส ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้านางสวรรค์ห้อมล้อมเป็นพันๆ นาง มีวิมานทองเป็นที่อาศัย ประดับประดาด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์มากมายหลายหลากอลังการคำนวณได้ถึง 60 เล่มเกวียน

นี้เป็นบุคคลตัวอย่างที่สอนให้เราได้ยึดถือเอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เพราะถึงแม้ร่างกายจะพิการใช้งานไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจิตใจจะต้องพิการไปด้วย เพราะไม่ว่าคนเราจะตัดสินใจทำอะไร จะเริ่มต้นได้หรือไม่ จะดำเนินการได้หรือไม่ และจะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้หนึ่งผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ทั้งนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพลังอำนาจของจิตใจหรือกำลังใจของตัวเราเองนี่เหลาะเป็นสำคัญ  เป็นกำลังใจให้นักสู้ชีวิตทุกท่านให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาและขีดจำกัดต่างๆ ในชีวิตไปได้ด้วยดี ค้นพบทางเดินที่สว่างไสว ประสบกับความสมหวังดังปรารถนาทุกประการครับ

“แพรว…ด้วยความรู้ – พราว…ด้วยประสบการณ์”

ติดตามรับฟังเสียงอ่านนิทานธรรมะเรื่อง “มัฏฐกุณฑลี” ได้ที่ :